ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสานในวันศุกร์ (7 พ.ย.) โดยดาวโจนส์และ S&P500 ปิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังนักลงทุนพบสัญญาณความคืบหน้าที่อาจนำไปสู่การยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (ชัตดาวน์) ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ภาวะชัตดาวน์ และมูลค่าหุ้นกลุ่มเทคฯ ที่สูงเกินไป ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 46,987.10 จุด เพิ่มขึ้น 74.80 จุด หรือ 0.16% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,728.80 จุด เพิ่มขึ้น 8.48 จุด หรือ 0.13% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,004.54 จุด ลดลง 49.45 จุด หรือ 0.21% การซื้อขายตลอดทั้งวัน พบว่าดัชนีหลักทั้ง 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวในแดนลบก่อนที่แรงซื้อจะกลับเข้ามาในช่วงท้าย หลังมีรายงานความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อทำสถิติใหม่ของประเทศ โดยเทอร์รี แซนด์เวน หัวหน้านักกลยุทธ์ตราสารทุนจาก U.S. Bank Wealth Management ระบุว่า “หากปัญหาชัตดาวน์ได้รับการแก้ไข จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้มาก โดยเฉพาะในช่วงที่การยอมรับความเสี่ยงนั้นค่อนข้างต่ำ ซึ่งขณะนี้หุ้นอยู่ในระดับสูงสุดตลอดกาลและมูลค่าก็อยู่ในระดับสูง” เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า พบว่าดัชนีหลักทั้ง 3 ยังคงปรับตัวลดลง โดยเฉพาะดัชนีแนสแดคที่ร่วงแรงที่สุดในรอบกว่า 7 เดือน ท่ามกลางความกังวลต่อมูลค่าที่สูงเกินจริงของหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) เบื้องต้นประจำเดือนพ.ย. ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยผู้ตอบแบบสอบถามมีมุมมองเชิงลบต่อสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันมากที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจ โดยดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวม ลดลงถึง 29.9% นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 
ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ สำนักข่าว CNN รายงานโดยอ้างแหล่งข่าว ระบุว่า วุฒิสภาได้บรรลุข้อตกลงเพื่อจัดสรรงบประมาณให้รัฐบาลไปจนถึงวันที่ 30 ม.ค. 2026 ซึ่งถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่าการชัตดาวน์กำลังจะสิ้นสุดลง โดยวุฒิสภามีกำหนดจะลงคะแนนเสียงในคืนวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น ด้านแหล่งข่าวยังระบุว่า จำนวนสมาชิกพรรคเดโมแครตมีเพียงพอที่จะผลักดันแผนนี้ให้ผ่านไปได้ ขณะที่การค้าระหว่างประเทศ พบว่าจีนเริ่มจัดทำระบบใบอนุญาตส่งออกแร่หายาก (rare earth) แบบใหม่ ซึ่งอาจช่วยเร่งกระบวนการขนส่งได้เร็วขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นยกเลิกข้อจำกัดตามที่สหรัฐฯ คาดหวัง ในด้านผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 จำนวน 446 แห่งได้รายงานผลแล้ว ซึ่ง 83% มีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยข้อมูลจาก LSEG ระบุว่ากำไรโดยรวมของดัชนี S&P 500 ในไตรมาส ก.ค.–ก.ย. เพิ่มขึ้น 16.8% จากปีก่อน เทียบกับคาดการณ์เดิมที่ 8.0% อย่างไรก็ตาม หุ้น Microchip Technology ร่วง 5.2% หลังคาดการณ์รายได้ไตรมาสถัดไปต่ำกว่าตลาด ขณะที่หุ้น Tesla ลดลง 3.7% หลังผู้ถือหุ้นอนุมัติแพ็กเกจค่าตอบแทนซีอีโออีลอน มัสก์ ซึ่งถือเป็นข้อตกลงค่าตอบแทนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์องค์กร ด้านหุ้น Expedia พุ่ง 17.6% หลังรายงานยอดจองจากธุรกิจ B2B ที่แข็งแกร่ง ส่วนหุ้น Block ดิ่ง 7.7% หลังผลกำไรต่ำกว่าคาด และ Take-Two Interactive ร่วง 8.1% หลังประกาศเลื่อนการเปิดตัวเกม Grand Theft Auto VI ไปเป็นเดือนพ.ย. ปี 2026 ที่มา Reuters และ CNN 
|