รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับเกาหลีใต้ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัมคอมพิวติ้ง (Quantum Computing) และ เครือข่ายสื่อสาร 6G ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในการรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยีเหนือจีน ท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้านคณะผู้เจรจาการค้าระดับสูงของสหรัฐฯและจีน เปิดเผยว่าทั้ง 2 ฝ่ายสามารถบรรลุฉันทามติในหลายประเด็นสำคัญแล้ว ภายใต้ข้อตกลงครั้งนี้ สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ จะร่วมมือกันในการเสริมสร้างการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี AI รวมถึงลดภาระด้านกฎระเบียบสำหรับบริษัทเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดเก็บและใช้งานข้อมูลข้ามภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยข้อตกลงดังกล่าวมีกำหนดลงนามในวันนี้ ซึ่งไมเคิล แครตซิออส ( Michael Kratsios) ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำทำเนียบขาว (White House Office of Science and Technology Policy) จะเป็นผู้แทนฝ่ายสหรัฐฯ ทั้ง 2 ประเทศจะร่วมมือกันเสริมสร้างมาตรการควบคุมการส่งออกที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI รวมถึงลดภาระด้านกฎระเบียบให้แก่บริษัทเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถจัดเก็บและใช้ข้อมูลได้ในหลายภูมิภาคทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีชีวภาพและเวชภัณฑ์ เสริมความมั่นคงด้านการวิจัย ปกป้องนวัตกรรมควอนตัม และส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศและการสื่อสาร 6G ไมเคิล แครตซิออส ระบุว่า “รัฐบาลทรัมป์กำลังนิยามความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ใหม่อีกครั้ง ด้วยการขับเคลื่อนความร่วมมือแบบทวิภาคีกับพันธมิตรอย่างเกาหลีใต้ โดยข้อตกลงด้านเทคโนโลยีเพื่อความมั่งคั่ง (Technology Prosperity Deal) แต่ละฉบับจะเปิดโอกาสโดยเฉพาะการเร่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และนำโลกเข้าสู่ยุคใหม่แห่งนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโดยสหรัฐฯ และพันธมิตรของเรา” พิธีลงนามจะจัดขึ้นระหว่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางเยือนเอเชีย 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยทริปนี้จะปิดท้ายด้วยการพบหารือระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ระหว่างการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย–แปซิฟิก (APEC) ในวันพฤหัสบดี เพื่อหารือข้อตกลงทางการค้าในประเด็นสำคัญระหว่าง 2 ประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก 
ก่อนการพบผู้นำจีน ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้พยายามเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อจีน ด้วยการลงนามข้อตกลงขยายตลาดสำหรับสินค้าสหรัฐฯ และผลักดันความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก (rare earths) เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมไฮเทคหลายประเภท โดยรัฐบาลทรัมป์ได้ให้ความสำคัญกับการผลักดันเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่าง AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง เพื่อแข่งขันกับจีน ซึ่งได้ทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ เนื่องจากมองว่าเทคโนโลยีควอนตัมถือเป็นความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลอยู่ระหว่างหารือเรื่องการสนับสนุนทางการเงินให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง ส่วนในด้าน AI รัฐบาลทรัมป์ ได้ออกนโยบายผ่อนคลายข้อกำหนดและการอนุญาตเพื่อสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI รวมถึงจำกัดการเข้าถึงชิปเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงของจีน ขณะเดียวกัน คณะผู้เจรจาการค้าระดับสูงของสหรัฐฯและจีนเปิดเผยว่า ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถบรรลุฉันทามติในหลายประเด็นสำคัญที่เคยเป็นข้อขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นการปูทางให้ผู้นำทั้ง 2 ประเทศ เตรียมลงนามในข้อตกลงการค้าเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดที่กดดันตลาดการเงินทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่จีนเปิดเผยว่า ทั้ง 2 ฝ่ายได้บรรลุฉันทามติเบื้องต้นในประเด็นการควบคุมการส่งออก สารเฟนทานิล และค่าธรรมเนียมการขนส่ง ด้านสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ภัยคุกคามการเก็บภาษีนำเข้า 100% ต่อสินค้าจีนได้ถูกถอดออกจากโต๊ะเจรจาแล้ว และคาดว่าจีนจะดำเนินการสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงเลื่อนมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare earths) ออกไปก่อน พร้อมยืนยันว่าสหรัฐฯ จะยังคงมาตรการควบคุมการส่งออกที่มุ่งเป้าไปยังจีนไว้เช่นเดิม นอกจากนี้ ยังระบุว่าข้อตกลงระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะครอบคลุมข้อตกลงพักรบทางภาษี การแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับ TikTok และการรับประกันความต่อเนื่องของการจัดหาวัสดุแม่เหล็กจากแร่หายาก ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตสินค้าขั้นสูง อีกทั้งยังมีแผนหารือเกี่ยวกับแผนสันติภาพโลก ในการแก้ปัญหาสงครามรัสเซีย–ยูเครน ทั้งนี้ การพบปะระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะเป็นการเจรจาแบบตัวต่อตัวครั้งแรก นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว ที่มา Bloomberg (1) และ (2) 
|