ผลสำรวจภาคเอกชนที่จัดทำโดย S&P Global ระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของญี่ปุ่นลดลงสู่ระดับ 48.3 ในเดือนต.ค. จากระดับ 48.5 ในเดือนก.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2024 และอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและการหดตัวเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต่อเนื่อง และหนุนความคาดหวังว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของญี่ปุ่นลดลงสู่ระดับ 48.3 ในเดือนต.ค. จากระดับ 48.5 ในเดือนก.ย. ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2024 และอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและการหดตัวเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งในบรรดาดัชนีย่อย พบว่าการผลิตโดยรวม ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า แต่คำสั่งซื้อใหม่กลับหดตัวในอัตราที่รวดเร็วขึ้น สะท้อนถึงความต้องการจากลูกค้าในประเทศที่ยังอ่อนแรง ขณะที่คำสั่งซื้อเพื่อส่งออก ลดลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดที่ระบุว่า การส่งออกของญี่ปุ่นขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนในเดือนก.ย.
อย่างไรก็ตาม มุมมองต่อการผลิตในอนาคตปรับเพิ่มดีขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดย แอนนาเบล ฟิดเดส ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจของ S&P Global Market Intelligence ระบุว่า “ผู้ผลิตมีความเชื่อมั่นมากกว่าผู้ให้บริการ โดยหลายบริษัทคาดหวังว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การเปิดตัวสินค้าใหม่ และความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น จะช่วยกระตุ้นการผลิตได้ในปีหน้า”
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของกิจกรรมทางธุรกิจญี่ปุ่น ยังคงเผชิญแรงกดดัน เนื่องจากภาคบริการชะลอตัวเช่นกัน โดยดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ลดลงสู่ระดับ 52.4 จาก 53.3 ในเดือนก่อนหน้า ส่วน ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการ (Composite PMI) ลดลงสู่ระดับ 50.9 จาก 51.3 ซึ่งเป็นระดับการเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบ 5 เดือน
ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้น โดยทั้งต้นทุนการผลิตและราคาขายปรับตัวสูงขึ้นในอัตราเร็วกว่าเดือนก่อน ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่ามาจากต้นทุนแรงงาน วัตถุดิบ และเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเงินเยนที่อ่อนค่า

ขณะเดียวกัน สำนักงานสถิติญี่ปุ่นรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของญี่ปุ่น ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสด แต่รวมต้นทุนพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบรายปีในเดือนก.ย. สอดคล้องกับค่ามัธยฐานของตลาด และเร่งขึ้นจากระดับ 2.7% ในเดือนส.ค. โดยอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต่อเนื่อง ทำให้ตลาดยังคงคาดการณ์ว่า BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้ หลังจากตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.5% มานาน
ขณะที่ ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมอาหารสดและพลังงาน ซึ่ง BOJ ใช้เป็นตัวชี้วัดแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐานที่แท้จริงมากกว่า ปรับเพิ่มขึ้น 3.0% เมื่อเทียบรายปี ชะลอลงเล็กน้อยจาก 3.3% ในเดือนส.ค. โดยแรงหนุนสำคัญมาจากการปรับขึ้นอีกครั้งของราคาพลังงานและราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาอาหาร (ไม่รวมอาหารสด) พุ่งขึ้นถึง 7.6% ในเดือนก.ย. ส่วนราคาบริการเพิ่มขึ้นเพียง 1.4% เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่เพิ่ม 4.2% บ่งชี้ว่าภาคธุรกิจยังส่งผ่านต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Capital Economics กล่าวว่า “ทั้งเงินเฟ้อที่ตัดหมวดอาหารสด และเงินเฟ้อที่ตัดทั้งอาหารสดและพลังงาน ต่างอยู่ในเส้นทางที่จะถึงหรือเกินเป้าคาดการณ์ของ BOJ สำหรับปีงบประมาณนี้” พร้อมเสริมว่า “ถ้อยแถลงของธนาคารกลางในช่วงหลังยังคงใช้ท่าทีระมัดระวัง และไม่ชี้ชัดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในเร็ววัน” โดยคาดว่า BOJ จะรอจนถึงเดือนม.ค. 2026 ก่อนกลับมาเริ่มรอบการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
BOJ เพิ่งยุติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกที่ดำเนินมานานกว่า 10 ปีเมื่อปีที่แล้ว และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสู่ระดับ 0.5% ในเดือนม.ค. 2025 ภายหลังประเมินว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเข้าใกล้การบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างยั่งยืนที่ 2% อย่างไรก็ตาม แม้อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคของญี่ปุ่น จะอยู่เหนือเป้าหมายของ BOJ มานานกว่า 3 ปี แต่ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ยังคงเน้นความจำเป็นในการ เดินหน้าอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น และย้ำว่าการขึ้นดอกเบี้ยรอบใหม่ ควรเกิดขึ้นเมื่อเห็นสัญญาณเงินเฟ้อที่ขับเคลื่อนจาก อุปสงค์ภายในประเทศและการปรับขึ้นค่าแรงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในการประชุมเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีกรรมการ BOJ 2 คน จากทั้งหมด 9 คนคัดค้านการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิม และเสนอให้ปรับขึ้นสู่ระดับ 0.75% แม้ไม่ผ่านมติ แต่อย่างน้อยก็สะท้อนถึง ความกังวลต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นภายในธนาคารกลางญี่ปุ่นเอง
ที่มา Reuters 1 และ 2

|