*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 60.57 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.1% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ระดับ 65.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.1% ราคาน้ำมันปิดทรงตัวในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินความเป็นไปได้ของข้อตกลงพักรบทางการค้า ระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจีน หลังการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ประเทศเกาหลีใต้ ภายใต้ข้อตกลงระยะเวลา 1 ปี ประธานาธิบดีทรัมป์ ตกลงลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนจาก 57% เหลือ 47% แลกกับการที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ รักษาการส่งออกแร่หายาก และเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามการค้ายาเฟนทานิล *** สหรัฐฯและจีน ตกลงร่วมกันที่จะระงับการเก็บค่าธรรมเนียมตอบโต้ระหว่างกันชั่วคราว สำหรับเรือเดินสมุทร ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นขัดแย้งสำคัญของสงครามการค้าระหว่าง 2 เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก และเคยเป็นสาเหตุให้ค่าระวางเรือทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น โดยข้อตกลงดังกล่าวจะพักชำระค่าธรรมเนียมเป็นเวลา 12 เดือน คิดเป็นมูลค่าราว 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับเรือขนาดใหญ่ที่ผลิตในจีนและเดินทางเข้าท่าเรือของสหรัฐฯ โดยเป็นส่วนหนึ่งของกรอบข้อตกลงทางการค้าหลายฉบับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง บรรลุร่วมกันระหว่างการพบปะที่ประเทศเกาหลีใต้ *** สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จีนได้ตกลงซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ จำนวน 12 ล้านตัน ภายในฤดูกาลปัจจุบันจนถึงเดือนม.ค. ซึ่งลดลงจาก 22.5 ล้านตัน ในฤดูกาลก่อนหน้า หลังจากที่สงครามภาษีระหว่าง 2 ประเทศยืดเยื้อหลายเดือนและทำให้จีนหยุดการนำเข้าถั่วเหลืองสหรัฐฯ ไปก่อนหน้านี้ โดยเบสเซนต์ระบุว่า จีนยังให้คำมั่นว่าจะซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ปีละ 25 ล้านตันต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี ภายใต้ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ การลดลงของคำสั่งซื้อตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเกษตรกรชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ คิดเป็นการสูญเสียรายได้จากการส่งออกมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการตกลงครั้งนี้จึงถือเป็นการกลับสู่ภาวะปกติของการค้าถั่วเหลือง ระหว่าง 2 ประเทศอีกครั้ง *** สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่ารัฐบาลจีนได้ให้การอนุมัติข้อตกลงการโอนกิจการของแอป TikTok แล้ว โดยคาดว่ากระบวนการจะเดินหน้าต่อในช่วงไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือนข้างหน้า แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในขณะนี้ เบสเซนต์กล่าวว่า “เราได้สรุปข้อตกลง TikTok ในส่วนของการได้รับอนุมัติจากทางจีน และผมคาดว่าขั้นตอนต่อจากนี้จะเดินหน้าอย่างราบรื่นในอีกไม่กี่สัปดาห์และเดือนข้างหน้า” ด้านกระทรวงพาณิชย์จีน แถลงการณ์ว่า จีนจะจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ TikTok อย่างเหมาะสม” *** เศรษฐกิจจีน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบ 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กำลังเข้าสู่จุดอิ่มตัวจากการพึ่งพาการลงทุนและการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ผู้นำจีนเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนถึงการปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ มุ่งสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศมากขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า (แผนปี 2026–2030) โดยนักวิเคราะห์มองว่า การปรับแนวทางดังกล่าวเกิดขึ้นหลังเศรษฐกิจจีนเผชิญข้อจำกัดด้านการลงทุนและการส่งออกที่ชะลอตัว ซึ่งทำให้จุดเปราะบางเชิงโครงสร้างของประเทศเริ่มปรากฏเด่นชัด โดยมาตรการกระตุ้นการบริโภคอาจต้องใช้เวลาเพื่อให้เห็นผลจริง แม้เป้าหมายการขยายอุปสงค์ภายในประเทศ จะเป็นแนวทางที่จีนพูดถึงมานาน แต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่มีความชัดเจนและตรงประเด็นมากขึ้น โดยไม่ได้หมายความว่าจีน จะละทิ้งการผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่จะปรับสมดุลให้ภาคการบริโภคมีบทบาทมากขึ้น *** จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกปรับลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามการประเมินของนักเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าตลาดงานใหม่สำหรับผู้ที่ถูกเลิกจ้างจะยังคงมีจำกัด เนื่องจากภาคธุรกิจยังลังเลที่จะเพิ่มการจ้างงาน โดยธนาคารเจพีมอร์แกนคำนวณว่า ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลงเหลือ 219,000 รายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ต.ค. จาก 232,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่การประเมินจากโกลด์แมนแซคส์และเนชันไวด์อยู่ในช่วงตัวเลขใกล้เคียงกัน 
*** ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาด ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) โดยคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ 2% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน หลังปรับลดครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. เกิดขึ้นพร้อมกับที่อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซน แตะระดับเป้าหมายของ ECB ที่ 2% แถลงการณ์ของ ECB ระบุว่า “อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ใกล้เป้าหมายระยะกลางที่ 2% และคณะกรรมการบริหารเห็นว่า ภาพรวมแนวโน้มเงินเฟ้อยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ” พร้อมเสริมว่า “เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงขยายตัวได้ แม้อยู่ในสภาพแวดล้อมโลกที่ท้าทาย โดยตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง งบดุลของภาคเอกชนที่มั่นคง และผลของการปรับลดดอกเบี้ยในอดีต ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ” *** รัฐบาลเยอรมนีกำลังพิจารณาใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อชดเชยให้แก่บริษัท Deutsche Telekom AG และผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายอื่น ๆ สำหรับการเปลี่ยนอุปกรณ์ของ Huawei Technologies Co. ออกจากเครือข่าย โดยแนวทางดังกล่าวมีลักษณะเทียบเท่ากับการปรับโครงสร้างระบบโทรคมนาคมโดยใช้งบภาษีประชาชน หลังจากที่ผู้ให้บริการเครือข่ายของเยอรมนี ได้ต่อต้านแรงกดดันจากรัฐบาลมานานหลายปี ในการถอดอุปกรณ์ของบริษัทจีนรายนี้ออกจากระบบ เนื่องด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ ต้นทุนในการเปลี่ยนอุปกรณ์ของ Huawei ในเยอรมนีอาจมีมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านยูโร หรือราว 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ *** Apple คาดว่ายอดขายในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีจะพุ่งแรง หลังเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนว่า สินค้าหลักของบริษัทอย่าง iPhone ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตหลักของรายได้ โดย CFO ของบริษัท กล่าวว่ารายได้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ซึ่งครอบคลุมช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. จะเติบโต 10%–12% เมื่อเทียบกับปีก่อน แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนว่า Apple กำลังรับมือกับความท้าทายระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางการค้า ความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน หรือความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งราคาหุ้น Apple พุ่งขึ้นกว่า 4% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด หลังก่อนหน้านี้ปรับขึ้นมาแล้ว 8.4% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันปิดตลาดล่าสุด *** Amazon.com รายงานว่าธุรกิจคลาวด์ของบริษัท หรือ Amazon Web Services (AWS) มียอดเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนที่ก่อนหน้านี้กังวลว่า AWS อาจเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่งรายอื่น โดย AWS มียอดรายได้ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่อปีสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2022 ภายหลังการรายงานผลประกอบการ หุ้น Amazon พุ่งขึ้นราว 13% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ หลังปิดตลาดที่ 222.86 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ราคาหุ้นของบริษัทปรับขึ้นน้อยกว่าคู่แข่งรายใหญ่ในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนยังมองว่า Amazon ยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เต็มที่ *** บริษัท Meta Platforms ยักษ์ใหญ่ด้านโซเชียลมีเดีย ประกาศเตรียมหุ้นกู้มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อระดมทุนสนับสนุนการลงทุนครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งมีต้นทุนสูงและกำลังสร้างแรงกดดันต่อกระแสเงินสดของบริษัท Meta ซึ่งอยู่ระหว่างช่วงการลงทุนเชิงรุกในเทคโนโลยี AI ระบุว่า รายจ่ายฝ่ายทุน (Capex) ในปี 2026 จะสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับปี 2025 สะท้อนถึงการเร่งขยายศูนย์ข้อมูลและระบบประมวลผลเพื่อรองรับการเติบโตของ AI ทั่วทั้งแพลตฟอร์ม *** บริษัท Netflix ประกาศจะดำเนินการแตกหุ้น ในอัตรา 10 ต่อ 1 เพื่อให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยบริษัทจะออกหุ้นเพิ่มอีก 9 หุ้นต่อหุ้นเดิม 1 หุ้นที่ผู้ถือครองอยู่ หลังปิดการซื้อขายในวันที่ 10 พ.ย. และจะเริ่มซื้อขายในรูปแบบราคาหุ้นใหม่ ตั้งแต่เปิดตลาดในวันที่ 17 พ.ย. เป็นต้นไป นอกจากนี้ การแตกหุ้นยังมีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานของ Netflix สามารถรับสิทธิซื้อหุ้นของบริษัทได้สะดวกขึ้น Netflix ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราว 461,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้รับแรงหนุนจากผลงานซีรีส์และภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดคือ แอนิเมชัน “KPop Demon Hunters” ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง *** บริษัท BYD ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน รายงานผลกำไรไตรมาส 3 ลดลงต่อเนื่อง โดยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันในประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นและแรงกดดันจากการตรวจสอบของภาครัฐต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,820 ล้านหยวน (ประมาณ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลง 33% จากปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 194,980 ล้านหยวน ลดลงราว 3% ปัญหาของ BYD เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ไตรมาส 2 เมื่อบริษัทรายงานกำไรลดลงถึง 30% แบบไม่คาดคิด และในไตรมาสล่าสุด ยอดขายที่ชะลอตัวต่อเนื่องยิ่งตอกย้ำแรงกดดัน โดยบริษัทถึงขั้นเสียตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีนให้แก่บริษัทของรัฐ อย่าง SAIC Motor Corp. ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา *** บริษัท Nissan Motor Co. ประกาศคาดการณ์ว่าจะขาดทุนจากการดำเนินงานราว 275,000 ล้านเยน (ประมาณ 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีงบประมาณปัจจุบัน ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นเดินหน้าแผนลดต้นทุนครั้งใหญ่ เพื่อพลิกฟื้นสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่ โดยการคาดการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นแนวโน้มผลประกอบการฉบับแรกของ Nissan สำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมี.ค. 2026 หลังก่อนหน้านี้บริษัทหลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำด้านกำไร โดยคาดว่าผลขาดทุนในช่วงเดือนเม.ย.–ก.ย.จะอยู่ที่ 30,000 ล้านเยน ซึ่งดีกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าจะขาดทุนถึง 180,000 ล้านเยน *** ราคาทองคำปรับตัวขึ้นกว่า 2% ในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) ได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่เกี่ยวกับผลลัพธ์ของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน โดยราคาทองคำสปอตเพิ่มขึ้น 1.9% สู่ระดับ 4,003.62 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อเวลา 13.39 น. ตามเวลานิวยอร์ก ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนธ.ค. ปิดบวก 0.4% ที่ระดับ 4,015.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แรงซื้อทองคำเพิ่มขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะลดภาษีนำเข้าจากจีนจาก 57% เหลือ 47% เพื่อแลกกับการที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ฟื้นการส่งออกแร่หายาก และเพิ่มการปราบปรามการค้ายาเฟนทานิลผิดกฎหมาย 
|