ธ.ก.ส. เผย ผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีบัญชี 68 ปล่อยสินเชื่อแล้ว 5.51 แสนล้านบาท พร้อมคุม NPL ระดับต่ำที่ 6.20% ด้านลงทุนคนละครึ่ง พร้อมติดตาม-ช่วยเหลือ หากลูกค้าได้รับผลกระทบจากมาตรการบัญชีม้า นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยในโอกาสครบรอบวันสถาปนาธนาคารวันที่ 1 พ.ย.นี้ ว่า การดำเนินงานครึ่งปีบัญชี 2568 (1 เม.ย.-30 ก.ย.2568) ธนาคารสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและการลงทุนทั้งในและนอกภาคเกษตรระหว่างปี รวม 551,502 ล้านบาท ทำให้มีสินเชื่อรวม 1.68 ล้านล้านบาท ยอดเงินฝากสะสม 2.03 ล้านล้านบาท สินทรัพย์รวม 2.43 ล้านล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 6.20% ของสินเชื่อรวม และมีแผนระยะยาวจะควบคุม NPL ให้ต่ำกว่า 5%  สำหรับปีนี้ ธนาคารได้ออกผลิตภัณฑ์เงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ รวมถึงบุคลากรของรัฐและเอกชนที่ทำหน้าที่ในการดูแลภาคชนบทและชุมชนในการนำไปต่อยอดและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำรงชีพและประกอบอาชีพ เช่น สินเชื่อเคหะเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเงินด่วนคนดี และสินเชื่อเงินด่วนกึ่งแสน สำหรับสมาชิก อสม. และอสส. ซึ่งมีผู้ใช้บริการสินเชื่อแล้วกว่า 636,945 ราย สินเชื่อเงินด่วนสิบหมื่นสำหรับสมาชิก อสม. และอสส. มีผู้ใช้บริการสินเชื่อแล้วกว่า 277,526 ราย ด้านผลิตภัณฑ์เงินฝาก ธ.ก.ส.ได้เปิดตัวสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส.ชุดขุนแผนมรกต เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา หน่วยละ 2,000 บาท ลุ้นโชคใหญ่ มูลค่า 40 ล้านบาท และรางวัลอื่นๆ จำนวน 100,000 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 72 ล้านบาทต่อเดือน อายุสลาก 2 ปี ฝากครบกำหนด รับดอกเบี้ยทันทีหน่วยละ 19 บาท หรือคิดเป็น 0.475% โดย ณ วันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา มียอดฝากสลากแล้วกว่า 3,580 ล้านบาท คิดเป็น 1.79 ล้านหน่วย และเปิดการรับฝาก 2 ผลิตภัณฑ์ สร้างทางเลือกการออมเงิน ตอบโจทย์สไตล์ลูกค้า ทั้งเงินฝากทองชมพูนุช ดอกเบี้ย 1.40% ต่อปี ระยะเวลาฝาก 7 เดือน และเงินฝากทองนพคุณ ฝากขั้นต่ำครั้งละ 10,000 บาท วงเงินฝากรวมสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย รับดอกเบี้ยทุกเดือนแบบขั้นบันได สูงสุด 2.15% ต่อปี ระยะเวลาฝาก 10 เดือน เปิดรับฝากตั้งแต่วันนี้ ที่ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ขณะที่การแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ธ.ก.ส.ได้ขับเคลื่อนมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ระยะที่ 1 ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2566 จนถึงระยะที่ 3 คือตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568-30 ก.ย.2569 ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว 1.35 ล้านราย ต้นเงินกู้กว่า 186,935 ล้านบาท โดยธ.ก.ส.ได้มีมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความสามารถในการชำระหนี้ตามแนวทางตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการมีรายได้เพิ่มขึ้นและลดภาระหนี้สินในระยะยาวหลังจบมาตรการได้ โดยปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมแล้ว 3.16 แสนราย ขณะเดียวกัน ธนาคารยังได้สนับสนุนเงินทุนผ่าน โครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ ภายใต้มาตรการพักชำระหนี้ ให้กับผู้ผ่านการอบรม วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนและเสริมสภาพคล่องในระหว่างการพักชำระหนี้ โดยมีผู้ใช้บริการสินเชื่อ 37,548 ราย ยอดจ่ายสินเชื่อสะสมรวมกว่า 3,021 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ดำเนินโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกข้าวนาปรังและนาปี ปี 2568 และส่งเริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 4.5 ล้านครัวเรือน รวมเป็นเงินกว่า 36,716 ล้านบาท นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ยังได้ขับเคลื่อภารกิจด้านการสร้างความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิด ESG มุ่งสู่เป้าหมายการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี ค.ศ.2050 และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ผ่าน โครงการ BAAC Carbon Credit โดยปัจจุบันมีชุมชนธนาคารต้นไม้เข้าร่วมและขึ้นทะเบียน T-VER แล้ว 35 ชุมชน สามารกักเก็บก๊าซเรือนกระจกสะสม 3,331 ตันคาร์บอน โดยธ.ก.ส.ยังสร้างความยั่งยืนผ่านสินเชื่อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ESG เป้าหมาย 25,000 ล้านบาท ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2569 โดยปัจจุบันปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 23,000 ล้านบาท และมีผู้กู้จำนวน 7,100 ราย นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการคนละครึ่งพลัสว่า ได้เตรียมมาตรการติดตามและเฝ้าระวังกรณีบัญชีม้าอย่างใกล้ชิด หลังมีการเปิดรับลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งมีทั้งลูกค้าประชาชนทั่วไปและร้านค้าวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วม โดยหน่วยงานประจำจังหวัดของธ.ก.ส.ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือการลงทะเบียนให้กับวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ส่วนกรณีที่ลูกค้าธ.ก.ส.ถูกระงับบัญชีจากการถูกเชื่อมโยงกับบัญชีม้าโดยไม่ตั้งใจ เช่น การสแกนจ่ายเงินให้ร้านค้าที่เกี่ยวข้องในโครงการคนละครึ่งพลัส ลูกค้าสามารถติดต่อสาขาเพื่อชี้แจงความบริสุทธิ์ได้ทันที และหากตรวจสอบแล้วไม่พบความผิด ธ.ก.ส.จะปลดล็อกบัญชีให้ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เกษตรกรได้รับผลกระทบจากการทำธุรกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีบัญชีเพียงบัญชีเดียว "ธ.ก.ส. ได้เตรียมแนวทางรองรับไว้แล้ว หากลูกค้าธนาคารได้รับผลกระทบจากการอายัดบัญชี จะดำเนินการตรวจสอบและปลดล็อกให้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้สิทธิ์หรือการทำธุรกรรมทางการเงิน" นายฉัตรชัย กล่าว 
|