OR ตั้งเป้าผู้ใช้บริการ 5 ล้านคนต่อวันคาดเป็นปี 71 พร้อมแจงเหตุ "คาเฟ่อเมซอน" โบกมือลาเวียดนาม ส่วนในกัมพูชาเตรียมปรับแผนใหญ่รับปัญหาความขัดแย้ง พร้อมยกระดับ EV Station PluZ ขยายสถานีชาร์จ 7,000 หัว ในปี 73 หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มยยอดการใช้บริการสถานีมากขึ้นเป็น 5 ล้านคนต่อวัน คาดว่าจะเห็นภายในปี 2571 จากปัจจุบันเฉลี่ยการเข้าใช้บริการประมาณ 3.9 ล้านคนต่อวัน โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปัจจุบันประมาณ 36% และในปี 69 ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 4.3 ล้านคนต่อวัน
"เราต้องการเพิ่มมาร์เก็ตแชร์คน เป้าหมายหลักของเราคือคนไม่ใช่การเติมน้ำมัน แต่การที่คนเข้าปั๊มมากขึ้น คนใช้เวลากับเรามากขึ้น เพิ่ม Traffic เราอยากได้คน 5 ล้านคน/วัน ทุกวัน" หม่อมหลวงปีกทองกล่าว
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปัจจุบันคิดสัดส่วนรายได้ประมาณ 4-5% อย่างไรด็ตามสามารถทำกำไรได้สูงถึงระดับ 30% ดังนั้นบริษัทฯ จึงอยากขยายสัดส่วนรายได้ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเพิ่ม ด้านสถานการณ์น้ำมันในปี 69 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับทรงตัวเช่นเดียวกับปีนี้คือกรอบ 60 - 75 ดอลลาร์/บาร์เรล
ด้านธุรกิจ คาเฟ่อเมซอน(Café Amazon) ในประเทศเวียดนาม OR ตัดสินใจปิดกิจการทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถนำโครงสร้างความสำเร็จในประเทศไทยไปใช้ได้ เพราะคู่แข่งในท้องถิ่นแข็งแกร่งมาก ซึ่งไม่คุ่มค่ากับการลงทุน นอกจากนี้การเติบโตในประเทศอื่นๆ น่าจะมีโอกาสมากกว่า
"เราปิดสาขาในเวียดนามทั้ง 20 - 30 สาขา เพราะไม่สามารถเอาความสำเร็จของไทยไปใช้กับเวียดนามได้ คู่ต่อสู้แข็งแกร่งมากเพราะเป็น Local เอง ซึ่งการทำธุรกิจในเวียดนามมีค่าใช้จ่ายแฝงไม่คุ้ม " หม่อมหลวงปีกทองกล่าว
ทั้งนี้สถานการณ์ธุรกิจในประเทศกัมพูชา ปัจจุบัน OR ปิดสัญญาให้บริการไปแล้ว 40 ราย ซึ่งยังเหลืออีกประมาณ 150 ราย โดยยอมรับว่าสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวกระทบยอดขายในกัมพูชาลงประมาณ 50 - 60% โดยยอดขายดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 2-3% ของกำไรทั้งหมดของธุรกิจ OR
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการทำแผนงานพิจารณาว่าดำเนินธุรกิจต่อหรือจะถอนธุรกิจออกจากกัมพูชา โดยคาดว่าจะสามารถสรุปแผนได้ช้าสุดม.ค. 69 ทั้งนี้หากสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นถอนสถานฑูตไทยออกจากกัมพูชา อาจต้องปิดทุกสาขา อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับแผนธุรกิจต่อได้ เพราะต้องติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
"กัมพูชาเราดูอยู่หากยอดขายลดลงเยอะอาจจะต้องปิดการลงทุน แต่ปัจจุบันกัมพูชายังอยู่ในแผนงานลงทุนของบริษัทฯ ตอนนี้เราเฝ้าดูพัฒนาการซึ่งคงตัดสินใจอย่างช้าม.ค.ปี 69 หรืออาจจะภายในปีนี้เลย ซึ่งหากเป็นสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่สุด คือการปิดหากรบกัน แต่ทั้ง 2 ประเทศก็อาจจพทำธุรกิจต่อได้ หรือหากถึงขั้นเอาสถานฑูตออก รบกันก็ต้องปิด" หม่อมหลวงปีกทองกล่าว
โดยปัจจุบันแม้ว่าจะชะลอแผนการลงทุนในต่างประเทศกลุ่ม CLMV แต่แนวทางการเติบโตต่างประเทศ OR ยังมีมุมมองบวกต่อกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เพื่อเชื่อมโยงด้านพลังงาน เช่น ถนน รถไฟ เรือ สายไฟ ท่อน้ำมัน โดยประเทศที่มีโอกาสเติบโต เช่น เมียนมา ซึ่งจะเกิดการเลือกตั้งในธ.ค.68 หากสถานการณ์ออกมาเป็นที่ยอมรับได้ในสังคมโลก ประเทศไทยจะได้เปรียบในด้านการลงทุน

สำหรับแผนงาน “OR EV Ecosystem & Future Trend” ซึ่งสะท้อนบทบาทของ OR ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศผ่านโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ครบวงจร ทั้งนี้ ประเทศไทยมีเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยมีหนึ่งในแนวทางขับเคลื่อนคือกำหนดเป้าหมายให้ 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นรถไฟฟ้าภายในปี 2030 และสนับสนุนการพัฒนาโครงข่ายสถานีชาร์จให้เพียงพอกับปริมาณรถไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้น
โดย OR มีสถานีชาร์จ EV Station PluZ เข้ามาต่อยอดการดำเนินธุรกิจสถานีบริการ เสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศธุรกิจ ขยายเครือข่าย EV Station PluZ ให้ครอบคลุม พร้อมเป้าหมายขยายสถานีชาร์จ 7,000 หัวชาร์จ DC ทั่วประเทศภายในปี 73 เพื่ออำนวยความสะดวก เพิ่มความมั่นใจ ให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และวิถีชีวิตของคนยุคใหม่
ซึ่งปัจจุบัน OR มีหัวชาร์จแล้วกว่า 3,300 หัวชาร์จ ทั้งในสถานีบริการ PTT Station สถานี LPG สถานี NGV รวมถึงขยายสถานีชาร์จทั้งในและนอก PTT Station รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพ และเป็นพื้นที่มีความต้องการหนาแน่น เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม โรงพยาบาล ออฟฟิศ และสำนักงาน ตลอดจนหน่วยงานรัฐต่าง ๆ
นอกจากนี้ OR ยังมุ่งพัฒนาแอปพลิเคชัน EV Station PluZ ให้เป็นศูนย์กลางประสบการณ์ “จอง–ชาร์จ–จ่าย–สะสมแต้ม” ในช่องทางเดียว และศูนย์บริการลูกค้าครบวงจร พร้อมยกระดับเทคโนโลยี Quick Charger ที่รองรับกำลังไฟในทุกระดับ เพื่อรองรับทั้งรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลและรถเชิงพาณิชย์ รวมทั้ง เริ่มขยายสู่ หัวชาร์จแบบ Ultra Fast Charging เพื่อรองรับรถ EV รุ่นใหม่ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีที่สามารถชาร์จได้เร็วเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวเสริมว่า OR มองธุรกิจ EV ไม่ได้มาแทนธุรกิจน้ำมัน แต่เป็นการต่อยอดโครงสร้างธุรกิจเดิมให้ตอบโจทย์พลังงานสะอาด และสร้างโอกาสใหม่ให้สถานีบริการพีทีที สเตชั่น โดยมองว่าการชาร์จรถไฟฟ้าทำให้ลูกค้าใช้เวลาในสถานีจากเดิมราว 5 นาที เพิ่มเป็น 30–45 นาที ซึ่ง OR ใช้เป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์นอกสถานีบริการน้ำมัน หรือ “OR SPACE” ที่ปรับโฉม Ecosystem ของ OR ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุค Energy Transition

|