*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 60.13 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.6% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ (Brent) ปิดที่ 64.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 0.7% ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ (10 พ.ย.) หลังนักวิเคราะห์ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านอุปทานเชื้อเพลิงจากมาตรการคว่ำบาตรใหม่ของสหรัฐฯ และการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนต่อโรงกลั่นน้ำมันในรัสเซีย อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่าตลาดอาจเผชิญภาวะอุปทานล้นเกินในระยะถัดไป ยังคงจำกัดแรงบวกของราคาน้ำมัน *** ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงการสนับสนุนข้อตกลงระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต เพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการสำคัญที่เพิ่มโอกาสให้รัฐบาล กลับมาเปิดทำการได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้า โดยทรัมป์กล่าวว่า “เรามีเสียงสนับสนุนจากเดโมแครตเพียงพอแล้ว” ด้าน จอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา คาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะลงนามในร่างกฎหมายดังกล่าวทันที หลังสภาคองเกรสให้ความเห็นชอบ *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ กลับเข้าทำงานในวันจันทร์ หลังผู้โดยสารทั่วสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับการยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก เนื่องจากคำสั่งลดเที่ยวบินที่รัฐบาลออกเพื่อรับมือกับภาวะขาดแคลนบุคลากรระหว่างชัตดาวน์ของรัฐบาลกลาง โดยทรัมป์ขู่ว่าจะ ตัดค่าจ้างของเจ้าหน้าที่ที่ไม่กลับมาทำงาน พร้อมประกาศว่าจะมอบโบนัส 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานต่อเนื่องโดยไม่หยุดงานตลอดช่วงชัตดาวน์ 41 วัน และกล่าวเพิ่มเติมว่ารัฐบาลยินดีรับการลาออกของผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง *** ไมเคิล วิลสัน หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Morgan Stanley ระบุว่า มีสัญญาณชัดเจนว่าการฟื้นตัวของกำไรภาคธุรกิจได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยบริษัทสหรัฐฯ หลายแห่งกำลังได้รับอานิสงส์จากอำนาจในการกำหนดราคาที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังชี้ว่าการปรับประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์ได้แตะระดับจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าจำนวนการปรับลดคาดการณ์เริ่มลดลงเมื่อเทียบกับการปรับเพิ่ม พร้อมคาดว่า ผลประกอบการของภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2026 แม้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะยังเป็นความเสี่ยงระยะสั้นก็ตาม *** UBS Global Research ประเมินว่าแรงขับเคลื่อนจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะยังคงหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้พุ่งขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2026 โดยตั้งเป้าดัชนี S&P 500 ที่ระดับ 7,500 จุดในช่วงสิ้นปีหน้า จากแรงหนุนของกำไรภาคธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่แม้มีความกระจุกตัวสูงแต่ยังคงมีความยืดหยุ่น โดยดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,728.80 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ใกล้แตะระดับ 7,000 จุด ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้ม AI กำไรบริษัทที่แข็งแกร่ง และความหวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงในปีหน้า *** หุ้นบริษัทประกันสุขภาพสหรัฐฯ ร่วงระหว่าง 2% ถึง 10% ในวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น หลังวุฒิสภาสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางที่ยาวนานถึง 40 วัน โดยไม่มีการขยายเวลามาตรการอุดหนุนภายใต้กฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act (ACA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Obamacare ซึ่งจะถูกนำกลับมาลงมติอีกครั้งในเดือนธ.ค. โดยหุ้น Centene Corp. ดิ่งลง 9.8% Molina Healthcare ร่วง 4.9% และ Elevance Health ลดลง 2% นักวิเคราะห์มองว่า ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของรัฐบาลต่อการอุดหนุนภาคประกันสุขภาพ จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มนี้ในระยะสั้น แม้ตลาดโดยรวมฟื้นตัวจากความคืบหน้าในการยุติชัตดาวน์แล้วก็ตาม *** สตีเฟน มิแรน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า เฟดควรเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวในระยะข้างหน้า พร้อมเสนอให้ลดในอัตราที่รวดเร็วกว่าแนวทางเดิมของเฟด โดยมิแรนยืนยันจุดยืนว่า เฟดควรลดดอกเบี้ย 0.50% มากกว่าการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป 0.25% ซึ่งเป็นระดับมาตรฐาน โดยเขาได้เสนอแนวทางเดียวกันนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) 2 ครั้งล่าสุดเช่นกัน *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ อาจลดอัตราภาษีศุลกากรสินค้าจากอินเดียในบางจุด โดยระบุว่าทั้ง 2 ประเทศกำลังเข้าใกล้การบรรลุข้อตกลงการค้าใหม่ โดยทรัมป์กล่าวว่า “ตอนนี้อินเดียอาจยังไม่ชอบผมเท่าไร แต่เดี๋ยวพวกเขาจะกลับมาชอบเราอีกครั้ง เรากำลังได้ข้อตกลงที่เป็นธรรม” พร้อมเสริมว่า “เรากำลังเข้าใกล้ข้อตกลงที่ดีต่อทุกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ” ถ้อยแถลงดังกล่าว สะท้อนสัญญาณเชิงบวกในการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งดำเนินมานานจากมาตรการภาษีตอบโต้ของทั้ง 2 ฝ่าย *** ค่าเงินเยนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย อ่อนค่าลงใกล้ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือนในวันอังคาร ขณะที่สกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงกว่ากลับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยนักลงทุนรอดูความคืบหน้าในการเจรจาของฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ เพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลกลาง ที่ยืดเยื้อมายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ค่าเงินเยน อ่อนค่าลงแตะ 154.11 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ หากค่าเงินเยนอ่อนทะลุระดับ 154.48 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ จะถือเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1558 ดอลลาร์สหรัฐต่อยูโร ส่วนค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงขยับขึ้นต่อเนื่องแตะ 1.3177 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์ *** นางซานาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดแรกของรัฐบาล จะมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และวางรากฐานยุทธศาสตร์การเติบโตระยะยาว ผ่านการลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญของชาติ โดยคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุดใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายจะเสนอแผนต่อรัฐบาลภายในช่วงฤดูร้อนปีหน้า ได้แนะนำให้นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ผ่านแนวทางการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยงและการลงทุนเพื่อการเติบโต คณะกรรมการยังเสนอให้รัฐบาลมุ่งเน้นการลงทุนใน 17 สาขาหลัก ที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าเป็นหัวใจของการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI), การต่อเรือ, อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และแร่ธาตุสำคัญ โดยมีเป้าหมายสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว 
*** คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังพิจารณาวิธีการทางกฎหมายเพื่อบังคับให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ทยอยถอดถอนอุปกรณ์ของบริษัท Huawei Technologies Co. และ ZTE Corp. ออกจากโครงข่ายโทรคมนาคมของตน โดยเฮนนา เวียร์กคูเนน (Henna Virkkunen) รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ต้องการยกระดับคำแนะนำที่ออกเมื่อปี 2020 ซึ่งให้หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์จากผู้ขายที่มีความเสี่ยงสูงในเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ให้กลายเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้จริง แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหภาพยุโรป ในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีน โดยเฉพาะในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น 5G ซึ่งถูกมองว่าเป็นจุดเสี่ยงด้านความมั่นคงระดับภูมิภาค *** รัฐบาลจีนประกาศเพิ่มสารเคมีกว่า 13 ชนิด ที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเฟนทานิลเข้าสู่บัญชีควบคุมการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงการค้าระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกระทรวงพาณิชย์จีน ร่วมกับหน่วยงานของรัฐอีก 4 แห่ง ได้กำหนดให้การส่งออกสารเคมีทั้ง 13 รายการ ต้องได้รับใบอนุญาตส่งออกพิเศษ โดยสารที่อยู่ในบัญชีควบคุมนี้ จะรวมถึงอนุพันธ์ของไพเพอริดีนและสารในตระกูลเดียวกัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตยาเสพติดสังเคราะห์อย่างเฟนทานิล *** บริษัท Restaurant Brands International Inc. (RBI) เจ้าของแบรนด์ Burger King ประกาศตกลงขายหุ้นส่วนใหญ่ในกิจการ Burger King สาขาจีนให้กับบริษัท CPE ผู้จัดการสินทรัพย์ในเอเชีย ภายใต้แผนความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งการเติบโตของแบรนด์ในตลาดจีน ตามข้อตกลงดังกล่าว CPE จะลงทุนมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในกิจการร่วมค้าแห่งนี้ เพื่อผลักดันจำนวนร้าน Burger King ในจีนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4,000 แห่งภายในปี 2035 จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 1,250 แห่ง *** ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน ลดลงในเดือนต.ค.เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี ท่ามกลางแรงกดดันต่อเนื่องจากการทยอยยุติโครงการแลกรถเก่ารับส่วนลดของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งเคยเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงก่อนหน้า โดยข้อมูลจาก สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน ระบุว่า ยอดขายปลีกของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงรถเก๋ง รถเอสยูวี และรถมินิแวน ลดลง 0.8% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นับเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2024 (ยกเว้นเดือนม.ค. ซึ่งยอดขายชะลอตามฤดูกาลในช่วงเทศกาลตรุษจีน) *** บริษัท Honda Motor ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น ประกาศปรับลดประมาณการกำไรทั้งปีลง 20% โดยให้เหตุผลจากต้นทุนพิเศษในการพัฒนา EV, ภาวะขาดแคลนชิปจากผู้ผลิตรายสำคัญในยุโรป, และผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ราคาหุ้นของฮอนด้าร่วงลง 4.7% ในวันจันทร์ หลังประกาศปรับคาดการณ์กำไร โดยนักวิเคราะห์มองว่าแม้ปัจจัยภายนอกอย่างภาษีและปัญหาซัพพลายเชนจะสร้างแรงกดดันระยะสั้น แต่ความท้าทายระยะยาวที่ร้ายแรงกว่าคือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งปัจจุบัน ฮอนด้าและผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายอื่น ๆ กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญและตลาดที่พวกเขาครองส่วนแบ่งเกือบเบ็ดเสร็จในอดีต โดยการแข่งขันจากค่ายรถจีนที่รุกตลาดด้วยเทคโนโลยีใหม่และราคาที่ดึงดูดมากกว่า กำลังกลายเป็นภัยคุกคามเชิงโครงสร้างต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นในระยะยาว *** บริษัท Microsoft เดินหน้ากลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ด้วยการดึงอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในสหรัฐฯ มาช่วยโปรโมต Copilot แชตบอตปัญญาประดิษฐ์ (AI chatbot) ของบริษัท เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาว พร้อมส่งสารหลักว่า Copilot เท่ไม่แพ้ ChatGPT โดยความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความพยายามของ Microsoft ในการขยายฐานผู้ใช้ทั่วไป หลังบริษัทเปิดเผยว่า Copilot มีผู้ใช้งานประจำต่อเดือนราว 150 ล้านคน ขณะที่คู่แข่งอย่าง ChatGPT ของ OpenAI มีผู้ใช้งานประจำสัปดาห์สูงถึง 800 ล้านคน และ Gemini ของ Google มีผู้ใช้ราว 650 ล้านคนต่อเดือน *** บริษัท Intel ประกาศว่า ลิป-บู ตัน (Lip-Bu Tan) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท จะเข้ามากำกับดูแลการดำเนินงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทโดยตรง หลังจากที่ซาชิน คัตติ (Sachin Katti) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ลาออกเพื่อเข้าร่วมงานกับบริษัท OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT โดยคัตติ ซึ่งเคยดูแลกลุ่มธุรกิจ AI ของ Intel มาตั้งแต่การปรับโครงสร้างองค์กรเมื่อต้นปี ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิม Twitter) ยืนยันว่าได้เข้าร่วมกับ OpenAI แล้ว *** SoftBank Group เตรียมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ในวันอังคารนี้ (11 พ.ย.) ท่ามกลางกระแสการลงทุนอย่างร้อนแรงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยหนุนให้ราคาหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของ SoftBank ต่อศักยภาพของ AI ยังมาพร้อมกับความเสี่ยง เนื่องจากนักวิเคราะห์บางส่วนเตือนถึงความเป็นไปได้ของฟองสบู่ AI ที่อาจทำให้บริษัทเข้าไปลงทุนในกิจการที่มีมูลค่าสูงเกินจริง ซ้ำรอยข้อผิดพลาดจากการลงทุนที่ใช้การออกหนี้เป็นตัวหนุนในอดีต *** บริษัท Apple แจ้งต่อวิศวกรและซัพพลายเออร์ว่า ได้ถอด iPhone Air 2 ออกจากกำหนดการเปิดตัว โดยไม่ได้ระบุวันวางจำหน่ายใหม่ ซึ่งเดิมที Apple วางแผนเปิดตัว iPhone Air 2 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ควบคู่กับ iPhone 18 Pro และ iPhone Fold โดยอุปกรณ์รุ่นใหม่นี้ถูกออกแบบให้เบากว่ารุ่นแรกและมีความจุแบตเตอรี่ที่มากขึ้น รายงานระบุเพิ่มเติมว่า Apple ยังมีแผนนำเทคโนโลยี ระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber cooling system ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกใน iPhone 17 Pro มาใช้กับ iPhone Air 2 ด้วย อีกทั้งอาจมาพร้อมกล้องคู่ด้านหลัง *** บริษัท Beyond Meat ผู้ผลิตเนื้อเทียมจากพืช รายงานผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด และคาดการณ์ยอดขายไตรมาส 4 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทประเมินไว้ หลังความต้องการสินค้าของบริษัทซบเซาต่อเนื่อง โดยหุ้น Beyond Meat ร่วงลง 8% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ หลังจากเคยพุ่งขึ้นกว่า 1,350% ภายใน 3 วันช่วงปลายเดือนต.ค. สร้างกระแสคล้ายหุ้นมีม ที่เคยสร้างความร้อนแรงในตลาดวอลล์สตรีทช่วงก่อนหน้านี้ บริษัทคาดการณ์ยอดขายไตรมาส 4 อยู่ระหว่าง 60–65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 70.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
|