ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสานในวันพุธ (12 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ขณะที่ดัชนีแนสแดคปิดในแดนลบจากแรงขายหุ้นเทคโนโลยี เนื่องจากนักลงทุนมุ่งไปยังหุ้นที่ได้ประโยชน์จากความคาดหวังว่า ภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดของสหรัฐฯ กำลังจะยุติลง ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 48,254.82 เพิ่มขึ้น 326.86 จุด หรือ 0.68% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,850.92 จุด เพิ่มขึ้น 4.31 จุด หรือ 0.06% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,406.46 จุด ลดลง 61.84 หรือ 0.26% สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กำลังจะลงมติอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ครั้งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะทำให้โครงการช่วยเหลือด้านอาหารกลับมาเดินหน้าต่อ รวมถึงการจ่ายเงินให้พนักงานรัฐหลายแสนคน และฟื้นระบบควบคุมการบินที่หยุดชะงักได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังต้องลงนามให้เป็นกฎหมายก่อนจึงจะมีผล หุ้น Goldman Sachs และ UnitedHealth Group ต่างพุ่งราว 3.5% ซึ่งช่วยหนุนให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดทำนิวไฮเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 13% นับตั้งแต่ต้นปี 2025 แต่ยังตามหลังดัชนี S&P 500 ซึ่งปรับขึ้นเกือบ 17% 
ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายตัวต่างปิดในแดนลบ นำโดยหุ้น Amazon และ Tesla ที่ลดลงราว 2% ขณะที่หุ้น Palantir ร่วง 3.6% และ Oracle ดิ่งลงเกือบ 4% ด้าน AMD พุ่ง 9% หลังบริษัทตั้งเป้ารายได้จากศูนย์ข้อมูล 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างแรงหนุนให้กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์บางส่วนฟื้นตัว ตลาดยังถูกกดดันจากข่าว SoftBank Group ขายหุ้น Nvidia มูลค่า 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันอังคาร ซึ่งกระทบความเชื่อมั่นว่ากระแส AI อาจใกล้ถึงจุดพีก หลังผู้บริหารธนาคารวอลล์สตรีทและนักลงทุนสายชอร์ตชื่อดังหลายรายออกมาเตือน โดยรายงานผลประกอบการรายไตรมาสของ Nvidia ที่จะประกาศในวันพุธหน้า จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของบรรยากาศการลงทุนในธีม AI ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุด หลังเพิ่มขึ้น 1.36% รองลงมาคือกลุ่มการเงินที่เพิ่มขึ้น 0.9% ภาวะชัตดาวน์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างชัดเจน และทำให้เกิดช่องว่างของข้อมูล ที่ส่งผลให้เฟดและนักลงทุนต้องพึ่งพาตัวชี้วัดภาคเอกชนมากขึ้น ซึ่งล่าสุด ข้อมูลการจ้างงานรายสัปดาห์ของ ADP ชี้ว่าภาคเอกชนปลดพนักงานเฉลี่ย 11,250 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ในช่วง 4 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ต.ค. สะท้อนตลาดแรงงานที่ยังคงอ่อนแอ เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 65% ต่อโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ระบุว่า เขาจะเกษียณหลังหมดวาระในเดือนก.พ. ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความพยายามของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะเพิ่มอิทธิพลเหนือธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มา Reuters 
|