การทำธุรกิจของจีนในแอฟริกา กำลังเปลี่ยนบทบาทจากเดิมซึ่งมีรัฐวิสาหกิจเป็นแกนนำ ไปสู่กลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภคจากภาคเอกชนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยรายงาน Rhodium Group China Cross-Border Monitor ที่เผยแพร่ในเดือนนี้ ระบุว่า การลงทุนของจีนในภาคส่วนที่ต้องใช้ทรัพยากรสูงในแอฟริกาลดลงประมาณ 40% จากจุดสูงสุดเมื่อปี 2015 ท่ามกลางผลตอบแทนที่ถดถอยลง ประกอบกับรายได้จากการลงทุนก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์แบบดั้งเดิมยังลดลงเช่นกัน ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศในแอฟริกาที่เติบโตเร็ว เช่น เคนยา ยูกันดา และแซมเบีย มีอัตราการเติบโตต่อปีที่ 4.8%, 6.4% และ 5.8% ตามลำดับ ส่วนภาพรวมผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของทั้งภูมิภาค อยู่ที่ 4.1% ตามรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนต.ค. ในขณะเดียวกัน การส่งออกของจีนไปยังแอฟริกาในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ พุ่งสูงขึ้น 28% เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 57% ในช่วงปี 2020-2024 โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติก และสิ่งทอ Joe Ngai ประธาน McKinsey Greater China ระบุว่า บริษัทจีนที่เข้าไปลงทุนในแอฟริกาในช่วงแรก ๆ ลงทุนทำโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนักและทำเหมืองแร่กันมาก แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจหันไปโฟกัสตลาดผู้บริโภคในแอฟริกา ซึ่งยังขาดการรวมกลุ่มในตลาดและอัตรากำไรที่ต่ำอาจทำให้การลงทุนเป็นไปได้ยาก สัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการประชุมสุดยอด G20 ครั้งแรกในทวีปแอฟริกา ซึ่งปิดฉากไปเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งจีนได้ส่งหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีเป็นตัวแทน และเปิดโอกาสสำหรับการเจรจาธุรกิจมากขึ้น ขณะที่ Heather Li ผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษาด้านจีน-แอฟริกาของ The Dot Connector กล่าวว่า ปัจจุบันมีการเดินทางไปทำธุรกิจและส่งพนักงานไปต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งต่างจากปีก่อนๆ ที่คนจีนไม่ค่อยรู้เรื่องราวในแอฟริกามากนัก บริษัทจีนขนาดใหญ่กำลังส่งผู้มีอำนาจตัดสินใจไปยังแอฟริกาเพื่อสำรวจโอกาสทางตลาดโดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าในแอฟริกาตะวันตก ทำให้ผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์ของจีนได้รับความนิยม ในขณะที่เวชภัณฑ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและของใช้ในครัวเรือน ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน 
กลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ มีบริษัทสมาร์ทโฟนจีน ได้แก่ Transsion เข้าไปบุกเบิกทำธุรกิจในแอฟริกามาหลายปีแล้ว ขณะที่บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่าง Huawei และบริษัทเครื่องใช้ในครัวเรือนอย่าง Midea ก็ขยายตลาดในแอฟริกาเช่นกัน ล่าสุดเมื่อเดือนก.ค. สื่อของรัฐบาลจีนรายงานว่า Midea ได้ลงนามข้อตกลงกับสมาพันธ์ฟุตบอลแอฟริกา เพื่อเพิ่มการลงทุน โดยบริษัทได้สร้างโรงงานในอียิปต์แล้วและมีแผนสร้างเพิ่มในอนาคต ภูมิทัศน์การลงทุนที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปนี้ยังปรากฏในกลุ่มธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ด้วย อาทิ แพลตฟอร์ม Xiaohongshu และ Bilibili ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ได้มีการโพสต์คอนเทนต์ที่นำเสนอแอฟริกในฐานะจุดหมายปลายทางที่กำลังเติบโตสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีความคล่องตัว ซึ่งครอบคลุมถึงการทำ Dropshipping และ E-commerce รวมถึงการผลิตและค้าปลีกที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของจีน Joseph Keshi นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์และนักยุทธศาสตร์ธุรกิจชาวไนจีเรียที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ประกอบการชาวจีน กล่าวว่า บางคนมีรายได้มากถึง หลักแสนดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีแรก แม้ว่า Li จะเตือนว่า ผู้ทำธุรกิจบางรายอาจกล่าวเกินจริงบนโซเชียลมีเดีย แต่การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวก็อาจเพิ่มการรับรู้ถึงโอกาสในแอฟริกาในหมู่ชาวจีน ข้อมูลของ Euromonitor ยืนยันว่าแนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นในวงกว้าง โดยเน้นย้ำว่ากิจการของจีนจำนวนมากในแอฟริกาเน้นขายสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน เช่น ผ้าอ้อม ของใช้ในครัวเรือน ซอสปรุงรสบรรจุหีบห่อ และขนมขบเคี้ยว โดย Christy Tawii ผู้จัดการข้อมูลเชิงลึกประจำภูมิภาคของ Euromonitor International ระบุว่า ประชากรในเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว และมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น คาดว่า จะหนุนการใช้จ่ายในภาคครัวเรือนของแอฟริกาเกิน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 นอกจากนี้ การเติบโตของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อย่าง Chinese Supermarket ยังช่วยขยายการเข้าถึงแบรนด์เอเชียและจีนไปยังแอฟริกา ผู้ประกอบการหลายคนยังมองในเชิงบวกว่า การใช้เงินหยวนจีนในแอฟริกาที่เพิ่มมากขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกรรมและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าให้แน่นแฟ้นขึ้น รายงานของ Rhodium ระบุว่า ปัจจุบัน มีการใช้เงินหยวนคิดเป็นสัดส่วน 30% ของการออกใบแจ้งหนี้ อย่างไรก็ตาม Rhodium Group และ Atlantic Council ระบุว่า การใช้เงินหยวนยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เนื่องจากจีนมีดุลการค้าเกินดุลกับคู่ค้าส่วนใหญ่ในแอฟริกา และการที่ทั่วโลกยังพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การที่ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนให้ความสนใจเข้าไปลงทุนในแอฟริกา เกิดขึ้นในช่วงที่อัตรากำไรจากตลาดในประเทศลดลง เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรง การขายสินค้าให้กับผู้บริโภคในแอฟริกาจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับธุรกิจจีนในช่วงที่กำลังเผชิญอุปสรรคทางการค้ากับสหรัฐฯ และยุโรป นักวิเคราะห์ของ Rhodium Group ยังระบุว่า หากจีนล้มเหลวในการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตล้นตลาด และเผชิญกับข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นในยุโรป อาจนำไปสู่ภาวะ Stagnation ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดนิ่ง ซึ่งจะทำให้การส่งออกสินค้าของจีนไหลไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เช่น แอฟริกา เพิ่มมากขึ้น ที่มา CNBC 
|