บรรดานักวิเคราะห์ในผลสำรวจของรอยเตอร์มีความเห็นเกือบเป็นเอกฉันท์ คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ลงมาอยู่ในช่วง 3.75%-4.00% ในการประชุมนโยบายการเงินรอบนี้ ขณะที่ข้อมูลบ่งชี้ทางเศรษฐกิจมีอยู่จำกัดเนื่องจากการชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบาล ท่ามกลางความกังวลเรื่องความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน การตัดสินใจลดดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นรอบนี้ เป็นเพราะการขาดปัจจัยหนุนที่ชัดเจน ไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานที่เด่นชัดจากข้อมูลอย่างที่เฟดเคยใช้กำหนดนโยบายการเงิน เนื่องจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 29 แล้ว ทำให้เฟดไม่มีตัวเลขการจ้างงานจากภาครัฐสำหรับเดือนก.ย. ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการพิจารณาประกอบการกำหนดนโยบายในช่วงที่เฟดยังคงจับตาความแข็งแกร่งในตลาดแรงงานและพัฒนาการของกำลังแรงงาน ภายใต้การบังคับใช้นโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวเลขเดือนส.ค. ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics - BLS) ได้เผยแพร่รายงานการจ้างงาน ก่อนที่จะเริ่มมีการชัตดาวน์เมื่อวันที่ 1 ต.ค. พบว่า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จาก 4.0% ในเดือนม.ค. ขึ้นมาเป็น 4.3% นั่นเป็นเพราะการที่อัตราการจ้างงานลดลงอย่างมาก เนื่องจากจำนวนชาวต่างชาติที่มองหางานทำลดลง ได้ช่วยบรรเทาไม่ให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นมากไปกว่านี้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดจะรู้สึกว่าตลาดแรงงานยังคงมีความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานแรงงาน แต่ก็กังวลว่า ธุรกิจอาจเริ่มลดการจ้างงานลงอีก หรือหันไปใช้มาตรการเลิกจ้าง เนื่องจากกังวลแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยง และการประกาศปลดพนักงานของ Amazon.com ล่าสุดก็ยิ่งตอกย้ำความเสี่ยงนี้ รวมถึงตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานตามรัฐต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น โดยหน่วยงานจัดหางานของรัฐยังคงรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลรายสัปดาห์เกี่ยวกับการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสถานะของตลาดแรงงาน รายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตามคำสั่งของทำเนียบขาว เพื่อนำมาใช้คำนวณการปรับเงินสวัสดิการประกันสังคม แสดงให้เห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าที่คาดไว้ เนื่องจากการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อในฝั่งที่อยู่อาศัย ช่วยชดเชยราคาน้ำมันและสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมาตรการภาษีในปัจจุบัน สตีเวน อิงแลนเดอร์ (Steven Englander) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์มหภาค ประจำอเมริกาเหนือของ Standard Chartered มองว่า ปัจจัยจากข่าวเงินเฟ้อที่เป็นบวกพอสมควร รวมกับความกังวลในตลาดแรงงานที่ดำเนินอยู่ สะท้อนว่า มีเหตุผลรองรับไม่มากนักที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนมุมมอง นับตั้งแต่เฟดส่งสัญญาณเมื่อเดือนก.ย. ว่า มีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค. และ 9-10 ธ.ค. ถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ซึ่งจะมีขึ้นครึ่งชั่วโมง หลังการตัดสินใจและแถลงการณ์นโยบายของเฟดในช่วงเวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเช้ามืดวันที่ 30 ต.ค. จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและถูกจับตามองเป็นพิเศษว่า ผู้กำหนดนโยบายมีมุมมองต่อเศรษฐกิจและแนวทางนโยบายการเงินในอนาคตอย่างไรเนื่องจากเฟดจะไม่ออกคาดการณ์ทางเศรษฐกิจรอบใหม่ 
ตลาดการเงินจะจับตาการแถลงนโยบาย รวมไปถึงจำนวนและท่าทีการคัดค้านของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่มีต่อการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนอกเหนือจากการลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว เฟดอาจประกาศยุติการลดขนาดงบดุลด้วย อิงแลนเดอร์กล่าวว่า สตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) ผู้ว่าการเฟดที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง อาจโหวตสวนมติเป็นครั้งที่สอง โดยสนับสนุนให้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายคนอื่น ๆ ที่ยังกังวลแนวโน้มเงินเฟ้ออาจเลือกคงดอกเบี้ยไว้ และยังระบุว่า มิเชลล์ โบว์แมน (Michelle Bowman) รองประธานเฟดฝ่ายกำกับดูแล อาจคัดค้านการยุติการลดขนาดงบดุล โดยมูลค่าสินทรัพย์ที่เฟดถือครองอยู่ในงบดุลปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตัวเลข CPI เดือนต.ค. ไม่น่าจะมีการเผยแพร่ สืบเนื่องจากการชัตดาวน์ ขณะที่รายงานสำคัญส่วนอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อาทิ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค. ตามปกติแล้วจะเผยแพร่ในสัปดาห์หน้า และรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ซึ่งตามกำหนดจะเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งหากสามารถกลับมาเปิดหน่วยงานของรัฐบาลได้ในเร็ว ๆ นี้ เฟดจะมีเวลาประมาณหกสัปดาห์เพื่อทบทวนข้อมูลก่อนการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ แม้จะขาดรายงานไปบางส่วน แต่ผู้กำหนดนโยบายของเฟดกล่าวว่า สามารถเติมเต็มข้อมูลบางส่วนที่หายไป โดยอาศัยข้อมูลผลสำรวจผู้บริหารธุรกิจในท้องถิ่น ซึ่งให้มุมมองเกี่ยวกับการจ้างงานและการเลิกจ้าง ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายของเฟดบางส่วนมองว่า การจำลองตัวเลขเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ด้านไรอัน สวีต (Ryan Sweet) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ ของ Oxford Economics มองว่า การปิดหน่วยงานของรัฐบาลทำให้ธนาคารกลางขาดความชัดเจนเกี่ยวกับตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง แทนที่จะเสี่ยงต่อการล่าช้าและต้องลดมากขึ้นในภายหลัง ที่มา Reuters 
|