KTB เดินหน้ารักษา ROE มากกว่า 2 หลักใน 3 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 11% ชูปรับนโยบายปันผลใหม่ตามผถห.เรียกร้อง รับสินเชื่อปีนี้หดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ แย้มศึกษาแผนซื้อหุ้นคืน - เตรียมจัดตั้ง JVAMC บริหารหนี้ นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ จำกัด(มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า แนวโน้มสินเชื่อของธนาคารปีนี้จะลดลง จากเดิมที่คาดจะทรงตัวจากปีก่อน เนื่องจากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาสินเชื่อธนาคารชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ธนาคารมีเป้าหมายที่จะรักษา หรือ เติบโตมากกว่า 2 หลักในอีกสามปีข้างหน้า แม้ว่าในปัจจุบันจะอยู่ที่ 11% เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ปรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลใหม่เป็นจ่ายปีละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อื่นๆ ซึ่งจากเดิมธนาคารจ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง เพื่อการบริหารโครงสร้างเงินทุนภายใต้ระดับ Tier-1 ประกอบกับ ทำตามคำมั่นของธนาคารที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น และ จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอย่างสม่ำเสมอ "เราได้รับคำถามจากผู้ถือหุ้นมาโดยตลอดถึงการจ่ายปันผล ซึ่งในอดีตเราจ่ายแค่ปีละ 1 ครั้ง ครั้งนี้เราปรับใหม่เป็นปีละ 2 ครั้ง นอกจากจะเหมือนกับธนาคารอื่นแล้ว ก็เป็นการทำตามที่ให้คำมั่นไว้ว่าจะจ่ายปันผลมากขึ้น เมื่อเรามีผลประกอบการที่เหมาะสม ส่วนเรื่องการซื้อหุ้นคืน ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะบริหารจัดการอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง"นายผยง กล่าว สำหรับแนวโน้มการตั้งสำรองในระยะถัดไป ธนาคารคาดว่าจะลดลง เนื่องจากปัจจุบัน Coverage ratio ของธนาคารอยู่สูงถึง 207% สูงเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม ซึ่งเกินกว่ากรอบเป้าหมายในการบริหารจัดการที่ 170% 
นอกจากนี้ ทางสมาคมธนาคารไทยได้ให้ความสำคัญมากกับการแก้หนี้แบบจริงจัง ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาล โดยพยายามสื่อสารมาอย่างต่อเนื่องว่าปัญหาหนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง และ มีกฎกติกา และ ข้อมูลไม่เท่ากัน จึงมีการขับเคลื่อนนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) และ การให้บริการอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลแบบรวมศูนย์ อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตมาใช้ทรัพยากรตรงนี้จึงเป็นที่มาของการร่วมมือของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ สมาคมธนาคารไทย ในการแก้หนี้ประชาชนครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มองจากลูกหนี้เป็นศูนย์กลางที่เป็นกลุ่มเปราะบาง และ ติดกับดักหนี้ไม่สามารถไปไหนได้ โดยใช้กลไกตลาด และ ปรับให้ลูกหนี้หลุดกับดักหนี้ ซึ่งผ่านโมเดลหนี้เสียที่ไม่มีหลักประกันผ่าน บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และ ใช้ Ari Score เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มนี้กลับเข้าสู่ระบบได้ ซึ่งที่ผ่านมาแก้ปัญหาแบบให้ยาไม่ตรงจุด และ หนี้ที่ถูกขายไปจะไม่มีข้อมูลในระบบ ทำให้ต้องเสริมสร้างฐานข้อมูลให้ครบรอบด้าน และ แก้หนี้ผ่าน SAM โดยเป็นหนี้ไม่มีหลักประกันต่ำกว่า 1 แสนบาท แบ่งเป็น ลูกหนี้ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ บริษัทลูกของธนาคาร นอนแบงก์ SFIs โดยยังไม่รวมกับสหกรณ์ สำหรับธนาคารกรุงไทย มีหนี้กลุ่มไม่มีหลักประกันอยู่บ้าง แต่ไม่มาก ซึ่งหากมีหนี้กลุ่มที่เข้าข่ายแก้หนี้ผ่านกลไก SAM ก็จะส่งให้ SAM บริหาร และ อีกโมเดล คือ การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงิน และ บริษัท บริหารสินทรัพย์ (JVAMC) ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือกับบริษัทบริหารสินทรัพย์อยู่ ซึ่งอาจจะต้องรอรายละเอียด และ กฎเกณฑ์ที่ชัดเจนจากธปท.อีกครั้ง "เราใช้ 2 แบบ อันไหนที่เข้าเงื่อนไข SAM ก็ส่งไป อันไหนที่ไม่เข้าเงื่อนไข เราก็จัดตั้ง JVAMC ขึ้นมาบริหาร โดยที่ผ่านมาเราศึกษามาโดยตลอด แต่ตอนนี้เราจริงจังมากขึ้น ซึ่งตอนนี้รอธปท.ออกกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนก่อน"นายผยง กล่าว 
|