นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ผลกระทบจากการชัตดาวน์สร้างความเสี่ยงที่ข้อมูลสถิติหลายรายการจะหายไปถาวร โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และอัตราว่างงานประจำเดือนต.ค. ที่ถูกมองว่าเป็นข้อมูลที่มีความเสี่ยงสูงสุดเนื่องจากกระบวนการเก็บข้อมูลเป็นการสำรวจภาคสนามที่ต้องทำให้ตรงตามรอบเวลา ภาวะชัตดาวน์ทำให้หน่วยงานสถิติของรัฐบาล ต้องหยุดจัดเก็บและเผยแพร่ตัวเลขสำคัญ โดยนักเศรษฐศาสตร์บางรายระบุว่า แม้ข้อมูลบางส่วนอาจสามารถรวบรวมย้อนหลังได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ข้อมูลบางชุดจะสูญหายหรือไม่ถูกเผยแพร่เลย โดยดัชนี CPI และอัตราว่างงานของเดือนต.ค. ถือเป็นสถิติที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากกระบวนการเก็บข้อมูลต้องอาศัยการสำรวจภาคสนามในช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งในปัจจุบัน BLS ยังไม่ได้ประกาศกำหนดการเผยแพร่ใหม่ ทำให้ไม่ชัดเจนว่าตัวเลขต่าง ๆ จะถูกเผยแพร่เมื่อใด ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าหน่วยงานอาจเลือกที่จะรวมข้อมูล 2 เดือนเข้าด้วยกันเป็นรายงานเดียว เพื่อให้กำหนดการกลับมาเป็นปกติ ทางด้านแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า “พรรคเดโมแครต อาจสร้างความเสียหายถาวรต่อระบบสถิติของรัฐบาลกลาง โดยรายงาน CPI และการจ้างงานเดือนต.ค. อาจไม่ถูกเผยแพร่เลย” ก่อนหน้านี้ พรรคเดโมแครต เรียกร้องให้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวต้องมีการขยายเงินอุดหนุนเบี้ยประกันภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act และยกเลิกการปรับลดงบโครงการ Medicaid แต่พรรครีพับลิกันปฏิเสธ กระทั่งเมื่อต้นสัปดาห์นี้ วุฒิสมาชิกเดโมแครตบางราย ลงมติเห็นชอบแผนที่จะกลับมาเปิดรัฐบาลอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรกำลังเตรียมผ่านร่างดังกล่าวภายในคืนวันพุธ ทำเนียบขาวเคยระบุเมื่อปลายเดือนที่แล้วว่า จะไม่มีการรายงานเงินเฟ้อของเดือนต.ค. ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ตัวเลขนี้ถูกข้ามไป ขณะที่ BLS ยืนยันว่าจะกลับมาปฏิบัติงานตามปกติ เมื่อรัฐบาลได้รับงบประมาณและจะแจ้งต่อให้ทราบหากมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการเผยแพร่ข้อมูล 
โฆษกไม่ได้ระบุชัดเจนว่า รายงานการจ้างงานจะหายไปทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ การสำรวจสถานประกอบการ ซึ่งให้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payrolls) และการสำรวจครัวเรือน ซึ่งให้ตัวเลขอัตราว่างงาน โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ธุรกิจสามารถส่งข้อมูลย้อนหลังได้ แต่การติดต่อครัวเรือนทางโทรศัพท์เพื่อสอบถามสถานะการทำงานในสัปดาห์อ้างอิงของเดือนต.ค.นั้น ทำได้ยากกว่ามาก ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนระบุว่า หน่วยงานด้านสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (BLS) ควรให้ความสำคัญกับการจัดทำและเผยแพร่รายงานการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนพ.ย. ทันทีที่รัฐบาลกลางกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง เพื่อให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีข้อมูลล่าสุด สำหรับการตัดสินใจในการประชุมวันที่ 9–10 ธ.ค. โดยการปิดหน่วยงานรัฐครั้งนี้ ส่งผลให้สำนักสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) ต้องระงับกระบวนการเก็บรวบรวม ประมวลผล และเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจ ขณะที่สำนักสำมะโนประชากรและสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ตั้งแต่การชัตดาวน์ที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 ต.ค. มีเพียงรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย. เท่านั้นที่ได้รับการเผยแพร่ ทำให้การประเมินภาวะเศรษฐกิจขาดความชัดเจน แม้สถาบันเอกชนจะพยายามเผยแพร่ข้อมูลทดแทน โดยรายงานของรัฐบาลที่ล่าช้าบางส่วนสำหรับเดือนก.ย. อาจเริ่มทยอยออกได้ตั้งแต่สัปดาห์หน้า ขณะที่ทำเนียบขาวระบุว่า รายงานการจ้างงานและ CPI เดือนต.ค. อาจไม่ถูกเผยแพร่เลย เนื่องจากส่วนหนึ่งต้องพึ่งพาการเก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงเวลาที่ระบุซึ่งไม่สามารถทำย้อนหลังได้ ทั้งนี้ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า การลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนธ.ค. ยังไม่ใช่ข้อสรุปล่วงหน้า เนื่องจากความไม่ชัดเจนของข้อมูล โดยเฟดเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ช่วง 3.75%-4.00% ในการประชุมวันที่ 28–29 ต.ค. ด้านสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินว่า หากชัตดาวน์ยืดเยื้อ 6 สัปดาห์ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 4 อาจลดลงถึง 1.5 จุดเปอร์เซ็นต์ แม้เศรษฐกิจจะฟื้นคืนได้ในระยะถัดไป แต่ CBO คาดว่าความสูญเสียต่อเศรษฐกิจ มูลค่า 7,000–14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะไม่สามารถชดเชยคืนมาได้ ที่มา Bloomberg และ Reuters 
|