ข่าวหุ้นไทย5 พ.ย. 2568 10:05 น.“ดิก เชนีย์” อดีตรองปธน.สหรัฐฯ - แกนนำบุกอิรัก ถึงแก่อสัญกรรมในวัย 84 ปี“ดิก เชนีย์” อดีตรองปธน.สหรัฐฯ - แกนนำบุกอิรัก ถึงแก่อสัญกรรมในวัย 84 ปีstar_borderefinAI สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -5 พ.ย. 68 10:05 น. ดิก เชนีย์ (Dick Cheney) อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ในวัย 84 ปี เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากปอดอักเสบ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ตามแถลงการณ์ของครอบครัว ด้านการเมือง เชนีย์เป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน อดีตสมาชิกสภาคองเกรสรัฐไวโอมิง และอดีตรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งโลดแล่นในวงการเมืองมานาน ก่อนที่จอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสในขณะนั้น จะเลือกเขาเป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2000 ซึ่งต่อมาบุชได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ในช่วงปี 2001-2009 เชนีย์ผลักดันให้มีการขยายอำนาจฝ่ายบริหารอย่างเต็มกำลัง เนื่องจากมองว่า อำนาจประธานาธิบดีถูกลดทอนลงหลังจากคดีวอเตอร์เกต ซึ่งนำไปสู่การลาออกของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน รวมถึงเพิ่มอิทธิพลของสำนักงานรองประธานาธิบดีด้วยการจัดตั้งทีมความมั่นคงแห่งชาติของตนเอง ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจอีกแห่งภายในทำเนียบขาว ดิก เชนีย์ ได้รับการยกย่องจากนักประวัติศาสตร์ประธานาธิบดีว่า เป็นหนึ่งในรองประธานาธิบดีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และเป็นหัวหอกผู้อยู่เบื้องหลังการบุกอิรักในปี 2003 และเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่พูดถึงภัยคุกคามจากการสะสมอาวุธทำลายล้างสูงของอิรัก แม้ในเวลาต่อมาจะไม่พบหลักฐานว่า มีอาวุธดังกล่าวก็ตามที่มา Reuters efinAI แท็กที่เกี่ยวข้องดิก เชนีย์Dick Cheneyรองประธานาธิบดีสหรัฐอิรักจอร์จ ดับเบิลยู บุชABOUT THE AUTHORSupak Hopuengjureporter
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -5 พ.ย. 68 10:05 น. ดิก เชนีย์ (Dick Cheney) อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ในวัย 84 ปี เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากปอดอักเสบ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ตามแถลงการณ์ของครอบครัว ด้านการเมือง เชนีย์เป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน อดีตสมาชิกสภาคองเกรสรัฐไวโอมิง และอดีตรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งโลดแล่นในวงการเมืองมานาน ก่อนที่จอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสในขณะนั้น จะเลือกเขาเป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2000 ซึ่งต่อมาบุชได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ในช่วงปี 2001-2009 เชนีย์ผลักดันให้มีการขยายอำนาจฝ่ายบริหารอย่างเต็มกำลัง เนื่องจากมองว่า อำนาจประธานาธิบดีถูกลดทอนลงหลังจากคดีวอเตอร์เกต ซึ่งนำไปสู่การลาออกของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน รวมถึงเพิ่มอิทธิพลของสำนักงานรองประธานาธิบดีด้วยการจัดตั้งทีมความมั่นคงแห่งชาติของตนเอง ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจอีกแห่งภายในทำเนียบขาว ดิก เชนีย์ ได้รับการยกย่องจากนักประวัติศาสตร์ประธานาธิบดีว่า เป็นหนึ่งในรองประธานาธิบดีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และเป็นหัวหอกผู้อยู่เบื้องหลังการบุกอิรักในปี 2003 และเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่พูดถึงภัยคุกคามจากการสะสมอาวุธทำลายล้างสูงของอิรัก แม้ในเวลาต่อมาจะไม่พบหลักฐานว่า มีอาวุธดังกล่าวก็ตามที่มา Reuters