ตลท. รับ "กลุ่มสมอทอง (SMO)" เริ่มซื้อขายใน SET ในวันที่ 10 พ.ย.นี้ ระดมทุนต่อยอดธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ - คืนเงินกู้ยืม โบรกฯ ให้กรอบราคาเป้าหมาย 7.20 - 8.80 บ./หุ้น *** SET รับ "กลุ่มสมอทอง (SMO)" เข้าเทรด 10 พ.ย.นี้ นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. กลุ่มสมอทอง เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร โดยใช้ชื่อย่อ "SMO" ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 เพื่อขยายกำลังการผลิตและบูรณาการในห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์มดิบ เสริมความแข็งแกร่งด้าน ESG และประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตลอดจนยกระดับการเชื่อมโยงกับเครือข่ายเกษตรกร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย
ทั้งนี้SMO เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และผลพลอยได้ และผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เริ่มจากคัดสรรวัตถุดิบ การจัดการผลิตที่มีมาตรฐาน ให้ได้ผลผลิตสูง และนำผลพลอยได้จากการผลิตมาสร้างเป็นพลังงาน ปัจจุบันดำเนินงานผ่านโรงงาน 4 แห่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และสระบุรี มีกำลังสกัดรวม 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง และกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) 12.7 เมกะวัตต์ มีช่องทางขายทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นหนึ่งในผู้ผลิต CPO รายสำคัญของประเทศ
*** ระดมทุนต่อยอดธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ จ่ายปันผล 50% ของกำไรสุทธิ
นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. กลุ่มสมอทอง กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจและเสริมศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัท ด้วยความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่มีประสบการณ์ยาวนานในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบชั้นนำของประเทศ มีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ
รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ ก็มีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน หลังจากการระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน ขยายธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทพร้อมมุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดูแลชุมชน และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องด้วยธรรมาภิบาลที่ดี และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

ข้อมูลการเสนอขาย: SMO มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 920 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 231.6 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท รวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัท ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม และ 3-4 พฤศจิกายน 2568 ในราคาหุ้นละ 5.40 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนจากหุ้นใหม่ 1,250.64 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,968 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 7.60 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.71 บาท โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
ผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO: 1) กลุ่มครอบครัวพวงมาลา ถือหุ้น 20.46% 2) ครอบครัวพิริเยศยางกูล ถือหุ้น 20.16% และ 3) กลุ่มครอบครัวลัม ถือหุ้น 17.75% ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองต่างๆ โดยพิจารณาจากงบการเงินรวม
*** โบรกฯ ให้กรอบราคาเป้าหมาย 7.20 - 8.80 บ./หุ้น
บล. ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SMO เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ชั้นนำในประเทศไทยโดยมีกำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 240 ตันปาล์มสดต่อชั่วโมง (tph) โดยมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 315 tph ภายในปี69 ซึ่งเราประเมินว่าจะช่วยทำให้กำไรสุทธิของบริษัทเติบโตจากแรงหนุนทั้งรายได้ที่เติบโตขึ้นและการประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ที่ขยายตัว ทั้งนี้ เราเชื่อว่ากลยุทธ์ในกำรดำเนินธุรกิจปัจจุบันของบริษัทจะทำให้บริษัทได้ประโยชน์จำกแนวโน้มกำรส่งออก CPO ของไทยที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปอินเดียเพื่อทดแทนการนำเข้าจากอินโดนีเซีย
ประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตเฉลี่ยในช่วง 3 ปีข้างหน้าที่ (ปี 67-70 CAGR) +51% เป็น 900 ล้านบาทในปี 70 หนุนโดยปริมาณขาย CPO และ PK ที่เติบโตขึ้นตามกำลังการผลิตที่สูงขึ้นท่ามกลางแนวโน้มกำรส่งออกของไทยที่ขยายตัว ในขณะเดียวกัน เราประเมินว่า อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะดีขึ้นจาก economies of scale ที่ขยายขึ้นจากฐานรายได้ที่สูงขึ้น ประเมินมูลค่าเหมาะสมสำหรับ SMO ที่ 8.80 บาท อิง 2026E EV/EBITDA ที่ 6.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นในกลุ่มเกษตรของไทยและบริษัทผลิต CPO ในภูมิภาค (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ในช่วงปี 68 - 69 ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดกําไรสุทธิปี 69 - 70 ที่ 697 ล้านบาท (+168.4% y-y), 840 ล้านบาท (+20.6% y-y) และ 990 ล้านบาท (+17.8% y-y) ตามลําดับ แรงหนุนหลักมาจาก (1) กําลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเต็มปีหลังเข้าซื้อกิจการ AL ในปี 67 ซึ่งจะสะท้อนชัดในปี 68 (2) แผนเพิ่มกําลังผลิตโรงงานสาขาพนมอีก 75 ตันผลปาล์มสด/ชั่วโมง ทําให้ปี 69 กําลังการผลิตรวมเพิ่มอีกราว +22% และ (3) สัดส่วนการส่งออกที่สูงขึ้นตามดีมานด์นํ้ามันปาล์มโลก ขณะที่อุปทานจากผู้ผลิตรายใหญ่เข้าสู่ตลาดลดลง ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยและอัตรากําไรขั้นต้นดีขึ้น เนื่องจากมาร์จินส่งออกสูงกว่าตลาดในประเทศ อีกทั้งกระแสเงินสดสมํ่าเสมอจากธุรกิจโรงไฟฟ้ายังช่วยหนุการจ่ายปันผลและรองรับการลงทุน ประเมินราคาเป้าหมายที่ 8.80 บาท และ บล. บียอนด์ คาดการณ์กำไรสุทธิจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ 163% เป็น 682 ล้านบาทในปี 68 และคาดว่าจะเติบโตต่ออีก 28% สู่ระดับ 871 ล้านบาทในปี 69 หนุนโดย 1) การเติบโตของรายได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในปี 2568 และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดส่งออก 2) การขยายตัวของอัตรากำไร ซึ่งเป็นผลจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) และสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงไฟฟ้า Biogas ที่มีอัตรากำไรสูงกว่า 3) การควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ และ 4) ภาระดอกเบี้ยที่ลดลงหลัง IPO เลือกประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ SMO ด้วยวิธี PER ได้ราคาเหมาะสมที่ 8.20 บาทต่อหุ้น อิง PER ปี 2026E ที่ 8.6 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มหุ้นกลุ่มน้ำมันปาล์มขนาดใหญ่ (รายได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี) ในตลาด
| โบรก | ราคาเป้าหมาย(บ.) | | ดาโอ | 8.80 | | ฟินันเซีย ไซรัส | 8.80 | | บียอนด์ | 8.20 | | ไอร่า | 8.10 | | ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล | 8.10 | | โกลเบล็ก | 8.00 | | เคจีไอ | 7.90 | | กรุงไทย เอ็กซ์สปริง | 7.90 | | ยูโอบีเคย์เฮียน | 7.50 | | กรุงศรี | 7.50 | | เอเซียพลัส | 7.20 | 
|