ราคาหุ้นของ BYD Co. ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน ร่วงลงมากถึง 6.4% ในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (31 ต.ค.) ก่อนลดช่วงลบลงมาอยู่ที่ –3.70% ในช่วง 11.30 น. ตามเวลาไทย หลังบริษัทประกาศกำไรสุทธิและรายได้ไตรมาส 3 ลดลงต่ำกว่าคาดการณ์ สะท้อนว่าบริษัทยักษ์ใหญ่รายนี้ ไม่อาจหลีกหนีแรงกดดันจากสงครามราคาในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ รายงานผลประกอบการบ่งชี้ว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3 ของ BYD ลดลง 33% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือ 7,820 ล้านหยวน (ประมาณ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่รายได้รวมลดลงราว 3% เหลือ 194,980 ล้านหยวน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 216,000 ล้านหยวน โดยนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า ปฏิกิริยาเบื้องต้นในตลาดหุ้นอาจทรงตัวหรือลดลลงเล็กน้อย โดยกำไรต่อคันของ BYD อยู่ที่ 6,100 หยวนต่อคัน ต่ำกว่าประมาณการที่ 6,500 หยวน แม้จะดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าก็ตาม BYD ยังคงต่อสู้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ท่ามกลางสงครามราคาที่รุนแรง จนรัฐบาลกลางเริ่มกังวลว่าจะกระทบคุณภาพสินค้า ซึ่งความท้าทายของ BYD ปรากฏชัดตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่กำไรทรุดลงถึง 30% และยอดขายที่ชะลอตัวจนบริษัทเสียตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในจีน ให้แก่ SAIC Motor Corp. ซึ่งเป็นของรัฐวิสาหกิจในเดือนก.ย. BYD ส่งมอบรถพลังงานใหม่ (ทั้งรถไฟฟ้าล้วนและปลั๊กอินไฮบริด) 1.15 ล้านคันในไตรมาส 3 ลดลง 1.8% จากปีก่อนหน้า ขณะที่คู่แข่งอย่าง Geely Automobile Holdings และ Changan Automobile มียอดขายพุ่งขึ้นถึง 96% และ 84% ตามลำดับ โดย BYD ได้ปรับลดเป้าหมายยอดขายปี 2025 ลง 16% เหลือ 4.6 ล้านคัน แม้ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดจะไม่ได้เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการก็ตาม 
ในไตรมาสดังกล่าว อัตรากำไรขั้นต้นของ BYD ลดลงเหลือ 17.6% จาก 21.9% เมื่อปีก่อน แม้จะดีขึ้นจาก 16.3% ในไตรมาส 2 ซึ่งสะท้อนแรงกดดันจากกลยุทธ์ลดราคาที่บริษัทใช้ตลอดช่วงที่ผ่านมา เพื่อขยายฐานตลาดรถ EV ในจีน ซึ่งนักวิเคราะห์ของ HSBC มองในแง่บวก โดยระบุว่า BYD “อยู่บนเส้นทางสู่การปรับตัวดีขึ้น” และคาดว่าจะเห็น ยอดขาย อัตรากำไร และกำไรสุทธิกลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 จากปัจจัยตามฤดูกาล โครงสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูงขึ้น และการใช้ประโยชน์จากฐานผลิตเดิมอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ปอธิบายว่า ยอดขายที่ชะลอลงของ BYD ส่วนหนึ่งมาจากการลดสต็อกสินค้าก่อนการเปิดตัวรถรุ่นปี 2026 โดยชี้ว่ายอดสินค้าคงคลังทั้งในเชิงปริมาณและสัดส่วนของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนก.ย. “หาก BYD สามารถปรับสัดส่วนการส่งออกให้ดีขึ้นในไตรมาสแรกปี 2026 ตลาดอาจกลับมาชื่นชอบอีกครั้ง เนื่องจากบริษัทมีโครงสร้างต้นทุนที่แข็งแกร่งและมาร์จิ้นที่ป้องกันความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง” ยอดขายต่างประเทศของ BYD ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 160% จากปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการในยุโรปและละตินอเมริกา ซึ่งกลายเป็นเสาหลักสำคัญในการเติบโตท่ามกลางการแข่งขันภายในประเทศที่รุนแรง ขณะที่ในตลาดจีน BYD อาจได้แรงหนุนเพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้ จากความต้องการเร่งซื้อก่อนที่รัฐบาลจะทยอยยกเลิกมาตรการอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งหลายมณฑลได้เริ่มยุติโครงการดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การยกเลิกมาตรการเหล่านี้ อาจกระทบต่อผู้บริโภคกลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคา และส่งแรงกดดันด้านราคากลับมาที่ผู้ผลิตและดีลเลอร์อีกครั้ง ซึ่งอาจต้องลดราคาเพิ่มเติมเพื่อระบายสต็อก ทั้งนี้ ภาครัฐของจีนเริ่มจับตาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเข้มงวดมากขึ้น ภายใต้นโยบายต่อต้านการแข่งขันที่เกินพอดี (Anti-involution) เพื่อยุติสงครามราคาที่ดำเนินมานานและส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายใกล้ล้มละลาย อย่างไรก็ดี มาตรการของรัฐบาลยังไม่ส่งผลชัดเจนต่อภาคอุตสาหกรรม ที่มา Bloomberg 
|