การไต่สวนคดีเกี่ยวกับความชอบธรรมในการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ในชั้นศาลฎีการอบแรกนั้น เต็มไปด้วยข้อกังขาจากคณะผู้พิพากษา ซึ่งหลายคนในจำนวนนี้ทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้ง นำไปสู่การคาดการณ์และตั้งข้อสังเกตว่า หากศาลตัดสินให้การใช้อำนาจตามกฎหมาย IEEPA ปี 1977 นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ มีความเป็นไปได้ว่า ทรัมป์จะหันไปใช้เครื่องมือทางกฎหมายอื่น ๆ เพื่อเก็บภาษีนำเข้าอยู่ดี Bloomberg Economics ออกบทวิเคราะห์ กรณีศาลฎีกาสหรัฐฯ มีคำตัดสินคัดค้านมาตรการภาษีของทรัมป์ โดยคาดว่า อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 6.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษีเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ขณะเดียวกัน ยังประเมินความเป็นไปได้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะยังไม่ยอมแพ้ และคาดว่าจะนำเครื่องมือทางกฎหมายอื่น ๆ ออกมาใช้ ซึ่งมีการรวบรวมไว้ ดังนี้ เหตุผลและข้อจำกัดของกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ | มาตรา | เหตุผลในการเก็บภาษี | จำเป็นต้องมีการสอบสวนจากรัฐบาลกลางก่อนหรือไม่ | ระยะเวลาการบังคับใช้ | เพดานอัตราภาษี | | มาตรา 301 | การเลือกปฏิบัติต่อธุรกิจสหรัฐฯ หรือการละเมิดสิทธิของสหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงทางการค้า | ต้องมีการสอบสวน โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) | 4 ปี (ขยายเวลาได้ไม่จำกัด) | ไม่มีขีดจำกัด | | มาตรา 338 | การเลือกปฏิบัติต่อการค้าของสหรัฐฯ | ไม่ต้องสอบสวน | ไม่มีการจำกัดเวลา | สูงสุด 50% | | มาตรา 201 | ความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ | ต้องมีการสอบสวน โดยคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศ (ITC) | 4 ปี (ขยายได้สูงสุด 8 ปี) | เพิ่มได้ไม่เกิน 50% และต้องทยอยลดลงหลังครบ 1 ปี | | มาตรา 122 | ปัญหาการชำระเงินระหว่างประเทศ | ไม่ต้องสอบสวน | 150 วัน (ขยายเวลาได้ แต่ต้องได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรส) | สูงสุด 15% | | มาตรา 232 | ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ | ต้องมีการสอบสวน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ | ไม่มีการจำกัดเวลา | ไม่มีขีดจำกัด | ที่มา: สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รวบรวมจากสำนักงานวิจัยแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ (Congressional Research Service : CRS) ขณะเดียวกัน ได้มีการประเมินแนวโน้มในภูมิภาคต่าง ๆ หากมีการเปลี่ยนแปลงการบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งอินเดียและจีนเป็นสองประเทศที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสูงสุด ขณะที่บราซิลถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงมากเช่นกัน *** จีน สื่อของรัฐบาลจีนเกาะติดและรายงานการพิจารณาคดีของศาลฎีกาในวงกว้าง ขณะเดียวกัน ก็ยอมรับว่า โอกาสที่ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกนโยบายภาษีของทรัมป์โดยสมบูรณ์นั้นค่อนข้างต่ำ และยังอ้างถึงความเห็นของสก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลัง ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐฯ จะยังคงเก็บภาษีในระดับปัจจุบันต่อไป ส่วนกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ปฏิเสธให้ความเห็นในประเด็นนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพิ่งตกลงกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนบางรายการลง 10% และระงับการเก็บภาษีเพิ่มเติมบางส่วนเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจบางส่วน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังสามารถใช้อำนาจทางกฎหมายอื่นๆ เพื่อเก็บภาษีได้หากต้องการ และประเด็นความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจยังเกี่ยวพันกับสินค้าสำคัญหลายชนิด ทำให้ความตึงเครียดไม่น่าจะจบลงในเร็ววัน 
*** เอเชียเหนือ ไต้หวันมีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากในปีนี้ เนื่องจากกระแสเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากคำตัดสินของศาล เนื่องจากสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงส่วนใหญ่ได้รับการยกเว้นจากภาษีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงทางภาษีและการลงทุนกับสหรัฐฯ แล้ว ส่วนเกาหลีใต้กำลังอยู่ระหว่างการร่างข้อตกลง ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีประเทศใดยอมฉีกสัญญาที่ต่อรองมาอย่างยากลำบาก นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs Group คาดว่า ประเทศคู่ค้าเกือบทั้งหมดที่ได้ลงนามในข้อตกลงกับรัฐบาลทรัมป์ไปแล้วในปีนี้จะยังคงรักษาข้อตกลงเดิมไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนรอบใหม่จากภาษี เนื่องจากฝ่ายที่ต้องจ่ายภาษี คือผู้นำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ไม่ใช่ประเทศคู่ค้า การที่ประเทศอื่นจะยังคงรักษาข้อตกลงทางการค้าหรือไม่นั้น อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ยังสามารถใช้อำนาจทางกฎหมายรูปแบบอื่นเพื่อกลับมาเก็บภาษีอีก แต่หากทำเช่นนั้นก็จะสร้างความไม่แน่นอนให้ภาคธุรกิจรอบใหม่ *** เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระทบต่อการค้าในภูมิภาคนี้อาจมากกว่าส่วนอื่น ๆ เนื่องจากเวียดนาม ไทย และประเทศอื่น ๆ ส่งออกเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทต่างเร่งส่งออกก่อนที่ภาษีสหรัฐฯ จะมีผล ซึ่งหากศาลมีคำตัดสินให้ยุติหรือปรับลดภาษีลง ก็อาจนำไปสู่การเร่งส่งออกรอบใหม่จากภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ดี ผลกระทบที่แท้จริงยังไม่ชัดเจน เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งปัจจุบันได้รับการยกเว้น แต่ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณว่า จะเก็บภาษีสินค้ากลุ่มนี้ในอนาคต โดยอาจสูงถึง 300% *** อินเดีย อินเดียกำลังเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีที่สูงถึง 50% หลังจากทรัมป์ตั้งเป้าเก็บภาษีปมซื้อน้ำมันรัสเซีย แม้ช่วงหลังทรัมป์จะลดระดับการโจมตีอินเดียลง โดยทั้งสองฝ่ายพยายามผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้เกิดความหวังว่าอาจมีข้อตกลงทางการค้าใหม่ เจ้าหน้าที่ในอินเดียระบุว่า คำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลมากนักต่อการเจรจา เพราะทำเนียบขาวยังสามารถใช้อำนาจฝ่ายบริหารหรือมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการค้าได้ เจ้าหน้าที่รายหนึ่งกล่าวว่า การฟ้องร้องในคดีนี้เป็นเหตุผลเปิดทางให้คณะผู้เจรจาการค้าของอินเดียสามารถต่อรองให้เพิ่มถ้อยคำในข้อตกลงการค้าที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และมีผลผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งหากศาลมีคำวินิจฉัยคัดค้านภาษีทรัมป์ ก็จะยิ่งเพิ่มความชอบธรรมให้อินเดียในการยืนหยัดตามจุดยืนของตนเอง *** ยุโรป สหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงทางการค้าเมื่อเดือนก.ค. โดยสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าจาก EU เป็น 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ รวมถึงรถยนต์ด้วย ขณะที่ EU ตกลงยกเลิกภาษีสินค้าอุตสาหกรรมบางชนิดที่ถูกเก็บภาษีอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว และสินค้าเกษตรที่ไม่ใช่กลุ่มอ่อนไหวให้กับสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาททางการค้า แลกกับการรักษาความร่วมมือด้านความมั่นคงเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ EU มองว่า ข้อตกลงดังกล่าวไม่สมดุล และถูกวิจารณ์จากรัฐสภายุโรป เพราะยังคงภาษีเชิงลงโทษที่บังคับใช้กับโลหะบางชนิดของยุโรปเอาไว้ ทางด้านคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กำลังกดดันให้สหรัฐฯ ลดภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 50% และป้องกันไม่ให้มีการขยายภาษีนี้ไปยังสินค้าที่ใช้โลหะเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ ขณะเดียวกัน รัฐสภายุโรปเองก็กำลังพิจารณาแก้ไขข้อตกลง เช่น การเพิ่มเงื่อนไขให้ระบุเวลาสิ้นสุดของมาตรการ ที่มา Bloomberg 
|