ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทั้งแดนบวกและแดนลบในวันพุธ (29 ต.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 74.37 จุด หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาด ขณะที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ไม่ยืนยันว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค. ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,632.00 จุด ลดลง 74.37 จุด หรือ 0.16% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,890.59 จุด ลดลง 0.30 จุด หรือ 0.00% ขณะที่ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,958.47 จุด เพิ่มขึ้น 130.98 จุด หรือ 0.55% โดยทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ในช่วงก่อนเปิดทำการซื้อขาย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวในแดนบวกและยังเพิ่มขึ้นอีกหลังจากที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สองของปีนี้ และกล่าวว่าจะเริ่มซื้อหลักทรัพย์ของกระทรวงการคลังในวงจำกัด นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายของเฟดยังเผยถึงข้อจำกัดในการตัดสินใจนโยบายการเงิน เนื่องจากหน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลกลางยังคงชัตดาวน์ ซึ่งทำให้ไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจจากภาครัฐ หลังสุนทรพจน์ของพาวเวลล์ นักลงทุนปรับลดโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ลงมาอยู่ที่ 71% จากเดิม 90% ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Wealthspire Advisors มองว่า การลดดอกเบี้ยไม่เคยเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว การที่พาวเวลล์บอกว่า การลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปยังไม่แน่นอนนั้นจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะเฟดต้องอาศัยข้อมูลเศรษฐกิจ ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Angeles Investments ให้ความเห็นว่า แม้การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่คาดไว้ แต่คำพูดของพาวเวลล์ทำให้ตลาดไม่สดใสเท่าที่ควร ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเพียงชั่วคราว สุดท้ายแล้วสิ่งที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นคือ ผลประกอบการบริษัท ซึ่งมีความแข็งแกร่ง 
ผลประกอบการส่วนใหญ่ของบริษัทสหรัฐฯ ในช่วงฤดูกาลนี้ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ข้อมูลจาก LSEG ล่าสุดบ่งชี้ว่า บริษัทใน S&P 500 จำนวน 222 แห่งที่รายงานผลประกอบการไปแล้วนั้น มีประมาณ 84.2% ที่ทำกำไรสูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 77% ในช่วงสี่ไตรมาสที่ผ่านมา สำหรับผลประกอบการบริษัทรายใหญ่ล่าสุด Caterpillar รายงานกำไรไตรมาสที่ 3 สูงกว่าความคาดหมาย ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้น 11.6% ขณะที่หุ้นของ Nvidia ปิดตลาดบวก 3% สู่ระดับ 207.04 ดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดขึ้นไปอยู่ที่ 5.03 ล้านล้านดอลลาร์ โดยปีนี้หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นมากกว่า 50% และหนุนให้ดัชนีแนสแดคปิดทำนิวไฮในวันพุธ ขณะที่หุ้น Meta Platforms, Microsoft และ Alphabet เคลื่อนไหวผสมผสาน หลังจากการรายงานผลประกอบการรายไตรมาส โดยหุ้น Meta Platforms ร่วงลงกว่า 8% ในการซื้อขายหลังปิดตลาด ขณะที่ Microsoft ลดลง 1% และ Alphabet พุ่งขึ้นประมาณ 5% Meta เผยว่า มีการบันทึกรายการค่าใช้จ่ายครั้งเดียวเกือบ 16,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลกำไรไตรมาส 3 และกล่าวว่าค่าใช้จ่ายด้านทุนในปีหน้าจะสูงขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีนี้ ขณะที่ความต้องการ AI ที่แข็งแกร่งช่วยหนุนผลประกอบการของ Alphabet ส่วน Microsoft เผยว่า การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3 ซึ่งทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลด้านต้นทุน ที่มา Reuters 
|