"เอกนิติ" มั่นใจเศรษฐกิจไทยพ้นหล่มแล้ว มั่นใจจีดีพีปีนี้โตเกิน 2% รับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าแก้หนี้ เล็งให้ ธ.ก.ส.ตั้ง AMC คาดช่วยลูกหนี้ได้อีก 1 แสนราย พร้อมวาง TFF ช่วยกระตุ้นการลงทุนสำหรับอนาคตใหม่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในปาถกฐาพิเศษ หัวข้อ "Unlocking Growth and Shared Prosperity ก้าวต่อไปของไทย : ปลดล็อกการเติบโตสู่ความมั่งคั่งที่ทุกคนเข้าถึงได้" ว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งทางด้านศักยภาพทางการเงิน ทั้งเสถียรภาพ และ ระบบการเงินที่ดี ตลอดจนค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้มิจฉาชีพอยากที่จะเข้ามาถือครองเงินบาท ในขณะที่เพื่อนบ้านระบบการเงินไม่ดีเท่าไทย แต่ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่พัฒนาไปเร็วมาก ระบบการเงินจึงต้องตามให้ทัน โดยไทยจะต้องอุดช่องโหว่ หรือ จุดที่มีโอกาสให้มิจฉาชีพเข้ามาในไทย ส่งผลให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินต้องสงสัย ในส่วนของชุดที่ดูแล ชุดเชื่อมโยง ที่จะมาดูว่าประเทศไทยมีช่องโหว่อะไรบ้าง ทุกวันนี้เวลาเจอปัญหาหลายหน่วยงาน ไปฟ้องตำรวจ ดีเอสไอ ปปง. ซึ่งมีหลายจุด และ ทุกคนมีกฎหมายของตัวเอง และ กฎหมายเหล่านี้ ไม่ค่อยจะเชื่อมโยงกันทำให้เกิดช่องโหว่ ยกตัวอย่างเช่น คริปโตเคอร์เรนซี ก็จะมีสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้ดูแล และ หากเกิดเหตุทางปปง. ไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะคริปโตเคอร์เรนซีที่อยู่ในต่างประเทศ เพราะฉะนั้น ต้องหาชุดที่เชื่อมโยงกัน ไม่อย่างนั้นจะเหมือนคนตาบอดที่ไล่จับช้าง ซึ่งในวันนี้มีข้อมูลแล้วต่อไป คือ ต้องยกระดับให้เป็นมาตรฐานสากล "วันนี้เราได้ลูกช้างแล้ว รู้ช่องทาง มีข้อมูลแล้ว ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปรวบรวมข้อมูล เพื่อให้ Data Bureau สามารถดำเนินการได้ภายใน 1 เดือน หลังจากนี้จะยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลพฤติกรรมการเงินต้องสงสัยทั้งหมด โดยกระทรวงยุติธรรม จะจัดทำกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ในธุรกรรมที่อาจจะยังไม่มีกฎหมายครอบคลุมไปถึง หรือ มีกฎหมายกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งหากตรวจพบบุคคลที่เกี่ยวข้องกระทำความผิด เราจะไม่มีการช่วยเหลือแต่อย่างใด อันนี้ คือ โจทย์ที่ชัดเจน"ดร.เอกนิติ กล่าว อย่างไรก็ตาม ความยากที่สุดในเรื่องนี้อย่างแรก คือ เวลาการทำงานของรัฐบาลที่จำกัด 4 เดือน และ ความยากที่ 2 คือ ความซับซ้อน ซึ่งมีหลายกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อวานใช้เวลาเร็วมากแค่ 3 ชั่วโมงที่ทุกคนช่วยกัน เปิดให้เต็มที่ว่าใครมีข้อมูลอะไร จะได้รู้ช่องโหว่ โดยขณะนี้เดือนที่ 1 เสาหลักแรกทำเสร็จหมดแล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยมั่นใจว่า วันนี้ไทยฟื้นจากหล่มแล้ว โดยเริ่มจากคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำให้มั่นใจว่า ไตรมาสสุดท้ายเศรษฐกิจไทยจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 1% จากเดิม 0.3% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เกิน 2% 
เสาที่สอง คือ การจัดตั้ง AMC เพื่อแก้หนี้ โดยเฉพาะเรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่ง NPL 50% มาจากรายเล็กที่ไม่มีหลักประกัน กระจายตัวอยู่ในธนาคาร บริษัทลูกของธนาคาร นอนแบงก์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ นอกระบบ ซึ่งหากอยู่ในระบบจะถูกดอนไป SAM โดยใช้เม็ดเงิน 20,000 ล้านบาท ซึ่งใช้เงินที่เหลือจากโครงการคุณสู้เราช่วย โดยไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน เพราะต้องการรักษาวินัยทางการคลัง ซึ่งลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 122,000 ล้านบาท โดยเฟสแรกที่มาจากธนาคาร บริษัทลูกธนาคาร นอนแบงก์ แบงก์เฉพาะกิจ มีอยู่ประมาณ 2 ล้านราย คิดเป็นเม็ดเงิน 60,000 ล้านบาท ในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. นั้น จะจัดตั้ง AMC เป็นของธนาคารเอง โดยปัจจุบันมีลูกหนี้ประมาณ 100,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งหนี้ของเกษตรกรเกิดจากฤดูกาล ไม่เหมือนกับหนี้ทั่วไป จึงต้องให้ธกส. จัดตั้งด้วยตนเอง โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือน พ.ย.นี้ สำหรับอีกหนึ่งเสาเศรษฐกิจที่เร่งดำเนินการต่อ คือ เสาที่ 5 ผ่านการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยด้วย โดยที่ผ่านมาไทยไม่ได้มีการลงทุนมานาน ซึ่งเมื่อไม่มีการลงทุน ก็ไม่มีแรงในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโต โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากที่ไม่มีงบประมาณที่จะลงทุน เนื่องจากฐานะการคลังมีจำกัด นั่นเป็นเหตุผลที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ปรับเอาท์ลุคของไทยลง แต่สิ่งที่รัฐบาลเห็นทางออก คือ การใช้เครื่องมือทางการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) มาช่วยทำให้เกิดการลงทุนสำหรับอนาคตใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในโครงการที่สามารถดำเนินการผ่านกองทุน TFF คือ โครงการโซลาร์ลอยน้ำของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจ โดยหลักการ คือ รัฐบาลจะนำรายได้ในอนาคตจากโครงการดังกล่าวมาขายให้กับนักลงทุนบางส่วน จะช่วยให้ไทยมีเงินทุนเข้ามาเพื่อนำไปขยายการลงทุนในพลังงานสะอาดใหม่เพิ่มขึ้น โดยที่ กฟผ. ไม่ต้องกู้เงิน ซึ่งยังเป็นการต่อยอดการลงทุนเพื่ออนาคต Go Green และ ยังเป็นการลงทุนที่มีธรรมาภิบาล ประกอบกับ จะเร่งเพิ่มทักษะของแรงงานไทย เพื่อสร้างคนเก่งให้สอดรับกับการลงทุนเพื่ออนาคต โดยจะดึงเม็ดเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้ในการ Up-Skill Re-Skill ให้แรงงานไทย ในขณะเดียวกันจะมีการเร่งปลดล็อก กฎ กติกา และ ระเบียบ ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ผ่านการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ยังมีเม็ดเงินค้างท่อประมาณ 470,000 ล้านบาท เพื่อเร่งผลักดันเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว 
|