BAM เผยกำไรช่วง 9 เดือนแรกปี 68 แตะ 1,695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% ชี้เดินหน้าแผนกลยุทธ์ทั้งด้าน NPL/NPA ด้วย Partnership หวังสร้างผลเรียกเก็บทั้งปีเป้า 17,800 ล้านบาท ส่วนปี 69 คาดโต 5% YoY ระบุอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตร AMC อีก 2 ราย คาดปิดดีลทันปีนี้ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่าในช่วง 9 เดือน สามารถสร้างผลเรียกเก็บได้ 13,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 10,910 ล้านบาท หรือโตถึง 27% และมีกำไร 1,695 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,079 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมกำไร 9 เดือนปี 68 มีกำไรมากกว่าภาพรวมทั้งปี 67 ที่ทำได้ 1,602 ล้านบาทแล้ว
ส่วนผลกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 3/68 ทำได้ 184 ล้านบาท ลดลง 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีผลเรียกเก็บจำนวน 3,649 ล้านบาท โดยรายได้จากการดำเนินงาน (หลังหักรายได้ดอกเบี้ยค้างรับ) ยังเติบโต 17.8% จากช่วง เดียวกันของปีก่อน แต่บริษัทฯ มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 207.1% สาเหตุหลักจากการตั้งสำรองจากการซื้อทรัพย์หลักประกัน ของลูกหนี้จากกรมบังคับคดี และการตั้งสำรองเพื่อรองรับความ ไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการสินทรัพย์
โดย BAM วางเป้าหมายผลเรียกเก็บปีนี้ไว้ที่ 17,800 ล้านบาท และคาดว่าในปี 69 จะเพิ่มผลเรียกเก็บได้ 5% จากปี 68 โดยเพิ่มกลยุทธ์จากการมีพันธมิตรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการซื้อสินทรัพย์จะซื้อในนาม BAM และเพิ่มสินทรัพย์จากการมีพันธมิตรเพิ่มเติม ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะสร้างผลเรียกเก็บได้ดีขึ้น
"แผนงานปี 69 เราจะเอาคณะกรรมการของ BAM เดือนหน้า อย่างไรก็ตามจากกลยุทธ์ซื้อทรัพย์น้อยลงเพราะอยากลดหนี้และสร้างผลเรียกเก็บโดยไม่ต้องมีหนี้เพิ่ม เราคาดว่าปี 69 ผลเรียกเก็บน่าจะเติบโตจากปีนี้ประมาณ 5% บวกลบ " ดร.รักษ์กล่าว

ทั้งนี้ปัจจุบัน BAM มี NPL ที่อยู่ในความดูแล 90,150 ราย คิดเป็นภาระหนี้ 491,912 ล้านบาท และ NPA จำนวน 28,287 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 78,569 ล้านบาท โดยผลงานทางด้าน NPL ยังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ด้วยแนวทางที่ให้โอกาสลูกหนี้ในการได้หลักประกัน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินกลับคืนไปด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถฟื้นฟูกิจการหรือสถานะทางการเงินของตน
โดยปรับโครงสร้างหนี้และหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน ด้วยกระบวนการ Recycling Machine ซึ่งมีเป้าหมายในการเร่งสร้างโรงงานแก้หนี้ (TDR Factory) เพื่อฟื้นฟูให้ลูกหนี้กลับมามีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น พร้อมเดินหน้าการทำ NPL Partnership ด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงิน รวมทั้งการทำ JV Window หรือการสร้างรายได้ด้วยโมเดลการบริหารเพื่อแบ่งกำไร และโมเดลการรับจ้างบริหาร ขณะที่การบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย หรือ NPA พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจ (NPA Partnership) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่มุ่งขยายฐานธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านความร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรที่มีศักยภาพ อาทิ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท อรสิริน กรุ๊ป จำกัด
ส่วนสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดย BAM มุ่งเน้นการคัดสรรและนำเสนอทรัพย์ NPA ขนาด Big Lots ให้พันธมิตรนำไปพัฒนา และเพิ่มมูลค่า ทั้งบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และที่ดินเปล่า เพื่อพลิก “ทรัพย์ร้าง” ให้กลายเป็น“ทรัพย์สร้างมูลค่า” ต่อยอดเป็นทรัพย์สินที่สร้างรายได้ให้กับ BAM อย่างต่อเนื่อง ลดระยะเวลาการถือครอง และสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ BAM ยังได้เปิดตัวโครงการ “ทรัพย์มหาชน” สำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง สามารถผ่อนชำระกับ BAM โดยตรง หรือผ่อนชำระกับสถาบันการเงินพันธมิตรที่ปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM ซึ่งหลังจากเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 สามารถทำยอดขายได้แล้วถึง 302 ล้านบาท และภายในเดือนธันวาคมปีนี้ คาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 500 ล้านบาท
ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.02 เท่า โดยบริษัทฯ อยากให้เห็นแตะระดับช่วง 1.8 - 1.9 เท่า โดยการลดพึ่งพาเงินกู้ในการซื้อสินทรัพย์ใหม่ ซึ่งบริษัทฯ สามารถนำสินทรัพย์จากพันธมิตรมาจำหน่ายได้
สำหรับธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาพันธมิตรรายใหม่อีก 2 ราย คาดจะสรุปเรื่องตัวเลขการบริหารสินทรัพย์ได้ทันในปีนี้ ทั้งนี้ก่อนหน้า BAM มี พันธมิตรที่เป็น AMC อยู่ 2 ราย ได้แก่ ธนาคารออมสิน และธนาคารกสิกรไทย
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการใน 3 ด้านที่สำคัญ ประกอบด้วย การพัฒนา Business Model แบบคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของธุรกิจในอนาคต การปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดต้นทุน เพิ่มความคล่องตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ผ่านแผนแม่บท HR Master Plan รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กร ให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการองค์กรยุคใหม่ ซึ่งการขับเคลื่อนเชิงรุกในทุกมิติครั้งนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญที่วาดภาพอนาคตของ BAM ในการก้าวสู่การเป็น “BAM X” อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา BAM ยังได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน BAM Choice ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการบริหารจัดการชีวิตทางการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่การช่วยลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ การติดตามสถานะ ไปจนถึงการค้นหาทรัพย์ NPA ของ BAM ทั้งบ้าน ที่ดิน และคอนโด ได้ทุกทำเล ทั่วประเทศ ทุกอย่างถูกรวมไว้ในแอปเดียว ทำให้เรื่องที่เคยเป็นภาระและซับซ้อน กลายเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส

|