PTT เผย ผลงานไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 19,783.35 ล้านบาท โต 21.19% จากธุรกิจการกลั่น-รับรู้กำไรพิเศษ 900 ล้านบาท จากการซื้อคืนหุ้นกู้ TOP-GC แต่ 9 เดือนกำไรลดลง 19.97% ขณะที่ยืนยันยังเดินหน้าขยายการลงทุนในโครงการสําคัญ ควบคู่ซื้อหุ้นคืน หวังเพิ่มมูลค่าตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 บริษัทมีกำไร 19,783.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 16,323.61 ล้านบาท แต่ลดลง 1,749 ล้านบาท หรือ 8.1% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากไตรมาส 2/2568 รับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ สุทธิภาษีตามสัดส่วนของต่างประเทศ เป็นกำไรประมาณ 4,200 ล้านบาท โดยหลักจาก TOP ที่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมจากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อหุ้นและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์ ขณะที่ไตรมาส 3/2568 รับรู้กำไรประมาณ 900 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของ TOP และ GC 
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้รวมจากการขาย 646,689 ล้านบาท ลดลง 15.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ กลุ่มปิโตรเคมีและการกลั่น และกลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก จากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายที่ลดลง รวมถึงกลุ่มธุรกิจก๊าซมีรายได้จากการขายลดลง โดยหลักจากธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซ ที่ปริมาณขายเฉลี่ยปรับลดลง จากกลุ่มลูกค้าโรงไฟฟ้าที่ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซ ที่มีการนำเข้า LNG เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยปรับลดลงตามราคา pool gas และราคาขายเฉลี่ยให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมปรับลดลงตามราคาอ้างอิง รวมถึงธุรกิจโรงแยกก๊าซมีรายได้ลดลงจากราคาเฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาปิโตรเคมีที่ใช้อ้างอิง ประกอบกับปริมาณขายผลิตภัณฑ์รวมลดลง จาก LPG และ Propane ด้าน EBITDA ในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 85,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,877 ล้านบาท หรือ 24.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจการกลั่นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสนี้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ รวมทั้ง Market GRM เพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณขายลดลง ขณะที่กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของกลุ่มโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ที่ปรับตัวลดลง ขณะที่งวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 64,631.72 ล้านบาท ลดลง 19.97% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 80,760.51 ล้านบาท จาก EBITDA ที่ลดลง แม้ว่าในช่วง 9 เดือนมีการรับรู้ Non-recurring Items สุทธิตามสัดส่วนของปตท. เป็นกำไรประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมจากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อหุ้นและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์ของ TOP ขณะที่ในช่วง 9 เดือนมีกำไรประมาณ 600 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการขายเงินลงทุนใน Alvogen Malta (Out-licensing) Holding Ltd. (AMOLH) และกําไรจากการจําหน่ายสินทรัพย์ให้บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จํากัด (PE LNG) ของ PTTLNG สุทธิกับส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัท PTTAC จากการด้อยค่าสินทรัพย์ ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในโครงการสําคัญต่าง ๆ อาทิ โครงการด้านสํารวจและผลิตปิโตรเลียมของ บริษัท ปตท. สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) ( PTTEP) ควบคู่ไปกับการดําเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อเพิ่มมูลค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท. ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่แข็งแกร่งเทียบเท่าระดับประเทศ ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนยังมีความผันผวน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานของบริษัท |