*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 58.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 2.55 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4.18% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 62.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 2.45 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.76% ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลงแรงในวันพุธ โดยร่วงมากกว่า 2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังรายงานล่าสุดของโอเปก (OPEC) ระบุว่า อุปทานน้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2026 จะล้นตลาดเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นการปรับมุมมองครั้งสำคัญจากเดิมที่คาดว่าจะเกิดภาวะอุปทานตึงตัว *** รายงานประจำเดือนของโอเปก (OPEC) ระบุว่า ตลาดน้ำมันโลกปี 2026 จะเผชิญภาวะอุปทานเกินเล็กน้อย อันเป็นผลจากการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ประกอบกับการผลิตที่สูงขึ้นจากผู้ผลิตนอกกลุ่ม นับเป็นการปรับมุมมองครั้งสำคัญจากที่เคยคาดว่าจะมีภาวะขาดแคลน โดยกลุ่ม OPEC+ ผลิตน้ำมันเฉลี่ย 43.02 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนต.ค. ลดลง 73,000 บาร์เรล/วันจากเดือนก.ย. แม้จะมีข้อตกลงเพิ่มกำลังการผลิต โดยการลดลงส่วนใหญ่เกิดจากคาซัคสถาน ความต้องการน้ำมันของ OPEC+ ที่คาดไว้ในปี 2026 อยู่ที่ 43.0 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งหมายความว่า หากกลุ่มยังคงผลิตในระดับเดือนต.ค. ตลาดโลกจะมีอุปทานส่วนเกินราว 20,000 บาร์เรล/วัน *** สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุในรายงานประจำปีว่า อุปสงค์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกอาจยังเติบโตต่อไปจนถึงปี 2050 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญจากคาดการณ์ก่อนหน้า ที่มองว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยรายงานใหม่ มีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่วิจารณ์ IEA เรื่องการให้ความสำคัญกับนโยบายพลังงานสะอาดมากเกินไป *** สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ดำเนินการลงมติในวันพุธ เพื่อยุติภาวะชัตดาวน์รัฐบาลกลางที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเห็นชอบให้เดินหน้าร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ซึ่งจะฟื้นโครงการอาหารช่วยเหลือ จ่ายค่าจ้างให้พนักงานรัฐหลายแสนราย และฟื้นฟูระบบควบคุมการบินที่ชะงักงันอย่างหนัก สภาผู้แทนราษฎร ที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ลงมติ 213 ต่อ 209 เสียง เห็นชอบให้ร่างกฎหมายเข้าสู่ขั้นตอนลงมติครั้งสุดท้าย โดยการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นแรงผลักดันสำคัญให้สมาชิกพรรครีพับลิกันโหวตไปในทิศทางเดียวกัน แม้พรรคเดโมแครตในสภาจะคัดค้านอย่างหนัก เพราะไม่พอใจที่ไม่มีการต่ออายุเงินอุดหนุนโครงการประกันสุขภาพหรือโอบามาแคร์ *** สหรัฐฯ มีเป้าหมายจะเริ่มคลายมาตรการจำกัดจำนวนเที่ยวบินในสนามบินหลักทั่วประเทศภายใน 1 สัปดาห์หลังยุติภาวะชัตดาวน์ หากข้อมูลด้านความปลอดภัยยืนยันว่าเหมาะสมต่อการเดินหน้า “ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศจะกลับมาทำงานได้เร็วแค่ไหน และข้อมูลด้านความปลอดภัยจะดีขึ้นเพียงใด หากรัฐบาลเปิดวันนี้ ภายในหนึ่งสัปดาห์เราน่าจะเริ่มพิจารณายกเลิกข้อจำกัดเที่ยวบินเหล่านี้ได้” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมและสำนักงานการบินพลเรือนสหรัฐฯ (FAA) สั่งให้สายการบินลดจำนวนเที่ยวบินภายในประเทศลงที่สนามบินหลัก 40 แห่ง โดยเริ่มลด 4% และเพิ่มเป็น 10% ภายในวันศุกร์ เพื่อจัดการปัญหาการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินระหว่างชัตดาวน์ *** โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า รายงานการจ้างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนต.ค. มีแนวโน้มจะไม่ถูกเผยแพร่ เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐ ทำให้สำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ และหน่วยงานสำคัญด้านสถิติอื่น ๆ ต้องหยุดจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจทุกประเภท ส่งผลให้ผู้กำหนดนโยบายขาดข้อมูลสำคัญในการประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า แม้ข้อมูลบางชุดสามารถย้อนเก็บและเผยแพร่ภายหลังได้ แต่มีสถิติหลายรายการเสี่ยงสูญหายถาวร โดย CPI และอัตราว่างงานประจำเดือนต.ค. ถูกมองว่าเป็นข้อมูลที่มีความเสี่ยงสูงสุดเนื่องจากกระบวนการเก็บข้อมูลเป็นแบบสำรวจภาคสนามที่ต้องทำให้ตรงตามรอบเวลา *** นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า หน่วยงานด้านสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ควรให้ความสำคัญกับการจัดทำและเผยแพร่รายงานการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนพ.ย. ทันทีที่รัฐบาลกลางกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง เพื่อให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีข้อมูลล่าสุดประกอบการตัดสินใจในที่ประชุมเดือนธ.ค. ก่อนหน้านี้ สภาผู้แทนราษฎร ถูกกำหนดให้ลงมติในวันพุธต่อร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ซึ่งอาจยุติภาวะชัตดาวน์รัฐบาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ โดยการปิดหน่วยงานรัฐครั้งนี้ ส่งผลให้สำนักสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) ต้องระงับกระบวนการเก็บรวบรวม ประมวลผล และเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจ ขณะที่สำนักสำมะโนประชากรและสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน *** ราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ประกาศจะเกษียณในวันที่ 28 ก.พ. 2026 หลังครบวาระ ถือเป็นการอำลาตำแหน่งที่เหนือความคาดหมาย ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกดดันเพื่อขยายอิทธิพลของฝ่ายบริหารต่อเฟด แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีอำนาจแต่งตั้งประธานเฟดระดับภูมิภาคโดยตรง แต่ตำแหน่งเหล่านี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด (Board of Governors) ซึ่งทรัมป์กำลังพยายามปรับโครงสร้างใหม่ ผ่านความพยายามปลดลิซ่า คุก ออกจากตำแหน่งผู้ว่าการเฟด และเตรียมเสนอชื่อบุคคลใหม่ขึ้นแทนเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งจะหมดวาระประธานเฟดในฤดูใบไม้ผลิหน้า *** โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่แข็งแกร่งตลอดทศวรรษหน้า โดยคาดผลตอบแทนเฉลี่ยราว 7.7% ต่อปีในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงระดับค่ามัธยฐานในอดีต แม้ภาวะมูลค่าหุ้นโลกยังอยู่ในระดับสูง ในรายงาน Building Long-Term Returns ปีเตอร์ ออพเพนไฮเมอร์ นักวิเคราะห์ของโกลด์แมนระบุว่า แนวโน้มผลตอบแทนดังกล่าวได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยโครงสร้าง เช่น การเติบโตเชิงมูลค่าของเศรษฐกิจ ความสามารถทำกำไร และการจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น 
*** แบงก์ออฟอเมริกา (BofA) ระบุว่า หุ้นไมโครแคปได้กลายเป็นส่วนที่แพงที่สุดของจักรวาลหุ้นขนาดเล็ก โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับมูลค่าแพงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงฟองสบู่ดอทคอม แม้ดัชนีจะปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยสัปดาห์ที่แล้วดัชนี Russell Microcap ร่วง 4.5% แย่กว่าดัชนี Russell 2000 และ Russell Top 200 ที่ลดลงเท่ากันที่ 1.9% จิลล์ แครีย์ ฮอลล์ นักกลยุทธ์จาก BofA ระบุว่า “หุ้นไมโครแคปกลายเป็นกลุ่มที่แพงที่สุดในดัชนี โดยปัจจุบันซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเกือบ 80% เมื่อดูจากอัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (P/S) และสูงกว่าอดีต 22% เมื่อดูจากราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B)” เมื่อเปรียบเทียบกัน กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในดัชนีซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 8% (บน P/S) และ 25% (บน P/B) *** Anthropic สตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ ผู้พัฒนาโมเดลตระกูล Claude ประกาศจะลงทุนมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการทุ่มงบครั้งใหญ่ล่าสุดในวงการ AI ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีต่างเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการแข่งขัน โดยโครงการนี้จะดำเนินการร่วมกับ Fluidstack ผู้ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยดาต้าเซ็นเตอร์ชุดแรกจะตั้งอยู่ในรัฐเทกซัสและนิวยอร์ก พร้อมแผนเปิดศูนย์เพิ่มเติมในระยะต่อไป ซึ่งทั้งหมดเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ Anthropic *** หุ้น Advanced Micro Devices (AMD) พุ่งขึ้น 7% หลังบริษัทเปิดเผยเป้าหมายรายได้จากดาต้าเซ็นเตอร์ระดับที่ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี มุ่งขยายส่วนแบ่งตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ปัจจุบันถูกครองโดย Nvidia หากราคาหุ้นปิดบวกตามนี้ AMD จะเพิ่มมูลค่าตลาดกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังบริษัทได้วางเป้าหมาย 3–5 ปีข้างหน้า รวมถึงการผลักดันให้กำไรเติบโตมากกว่า 3 เท่า *** Saxo Markets แนะนำว่า นักลงทุนที่ต้องการรับโอกาสจากเมกะเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควรพิจารณาตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงเกินไปเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ขณะที่เอเชียเป็นฐานการผลิตฮาร์ดแวร์หลักของโลกและมีมูลค่าที่อิงปัจจัยพื้นฐานมากกว่า โดยหัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนของ Saxo ระบุว่า “เอเชียเป็นเส้นทางที่ถูกกว่า และผูกกับกำไรมากกว่า ในการลงทุนตามเมกะเทรนด์เดียวกัน” พร้อมชี้ว่า “ประมาณ 70% ของการผลิตชิปทั่วโลก 90% ของชิปหน่วยความจำ AI และแทบทั้งหมดของกำลังการผลิต advanced packaging อยู่ในไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของระบบนิเวศ AI” *** เงินเยนของญี่ปุ่น ยังคงอ่อนค่าใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับยูโร และอ่อนใกล้จุดต่ำสุดรอบ 9 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นระบุว่า ต้องการให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ดำเนินการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าและระมัดระวัง ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 179.35 เยนต่อยูโร หลังอ่อนค่าลงถึง 179.47 เยนต่อยูโรในคืนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ เยนอยู่ที่ 154.69 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ที่เคยอ่อนแตะ 155.05 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดตั้งแต่ต้นเดือนก.พ. *** โตโยต้า มอเตอร์ ประกาศเริ่มผลิตแบตเตอรี่ในโรงงานแห่งใหม่ที่รัฐนอร์ทแคโรไลนาของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโครงการลงทุนมูลค่า 13,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยืนยันแผนลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ อีกราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า มากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยซีอีโอของ Toyota Motor North America ระบุในแถลงการณ์ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญของบริษัท ควบคู่ไปกับการเปิดโรงงานแบตเตอรี่แห่งใหม่ โรงงานแห่งนี้เป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในสหรัฐฯ แห่งแรกของโตโยต้าที่ดำเนินการโดยบริษัทเองนอกประเทศญี่ปุ่น *** หน่วยงานสรรพากรจีน สั่งให้บรรดาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ รวมถึง Amazon.com ส่งมอบข้อมูลยอดขายของผู้ค้าเป็นครั้งแรก นับเป็นมาตรการเข้มงวดครั้งสำคัญในการปราบปรามการเลี่ยงภาษีของผู้ขายที่ใช้แพลตฟอร์มทำธุรกิจข้ามพรมแดน โดยผู้ค้าชาวจีนหลายรายเปิดเผยว่า ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สำนักงานสรรพากรในมณฑลต่าง ๆ ได้แจ้งให้แพลตฟอร์มรายใหญ่ส่งรายได้ไตรมาส 3 ของผู้ขายสัญชาติจีนบางราย เพื่อจัดการปัญหาการรายงานยอดขายต่ำกว่าความเป็นจริง Amazon เริ่มส่งข้อมูลตั้งแต่กลางเดือนต.ค. ขณะที่คู่แข่งสัญชาติจีน เช่น AliExpress ของอาลีบาบา, Temu และ Shein ส่งมอบข้อมูลก่อนหน้านั้นหลายสัปดาห์แล้ว โดยหน่วยงานภาษีไม่ได้กล่าวหาว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ กระทำความผิด แต่ต้องการข้อมูลเพื่อตรวจสอบผู้ขายโดยตรง *** การนำเข้าถั่วเหลืองสหรัฐฯ ของจีน ดูเหมือนจะหยุดชะงักอีกครั้ง ไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังสหรัฐฯ ประกาศสงบศึกทางการค้ากับจีน ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณบรรเทาความตึงเครียดระหว่าง 2 เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก ภายหลังจากมีคำสั่งซื้อจำนวนมากช่วงปลายเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อแรกของฤดูกาลนี้ ผู้ค้าระบุว่า การนำเข้ากลับชะลอลง และยังไม่เห็นการจองเพิ่มเติม โดยความเคลื่อนไหวนี้กำลังเพิ่มความกังวลว่า จีนจะนำเข้าตามปริมาณที่รัฐบาลสหรัฐฯ คาดหวังหรือไม่ *** อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคของอินเดียในเดือนต.ค. ลดลงเหลือ 0.25% จากปีก่อน เพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในระยะถัดไป โดยตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 0.48% และยังลดลงจากเดือนก.ย. ที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 1.54% โดยเมื่อเดือนต.ค. RBI ได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2026 ลงจาก 3.1% เหลือ 2.6% แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5% 
|