ตลท. แจงเหตุ IPO หดจากภาวะศก. - ยันการตั้งราคาเป็นไปตามสากล พร้อมตั้งเป้าปีหน้าดีต้องโตกว่าปีนี้ทั้งจำนวนบจ. และมูลค่าระดมทุน หลังได้ 2 บจ.ใหญ่ จ่อเข้าระดมทุน - เร่งดึงบ. New Economy ใน BOI - EEC เข้าจดทะเบียน นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยภายในงาน "Meet the Press" ว่ามั่นใจว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไอพีโอปี 69 น่าจะต้องดีกว่านี้ที่มีจำนวนบริษัทเข้ามาจดทะเบียน 17 บริษัท หรือคิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมประมาณ 12,000 ล้านบาท เนื่องจากขนาดหุ้นไอพีโอตัวใหญ่สุดของปีนี้ถือว่าไม่ได้ใหญ่มากเทียบกับในอดีตหรือช่วงก่อนโควิด โดยปีหน้าคาดว่าจำนวนหุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะมากกว่าปีนี้และในแง่ด้านมูลค่าก็คาดหวังจะมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาอย่างน้อย 1- 2 บริษัท เพราะปัจจุบันมี 1 บริษัทที่ได้ยื่นไฟลิ่งเรียบร้อยแล้วและอยู่ระหว่างรอการเสนอขาย ส่วนอีก 1 บริษัท คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งเข้ามาในช่วงปีหน้า พร้อมหวังว่าปีหน้าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นของตลาดไอพีโอ 
ขณะที่การดึงดูดผู้ประกอบการที่อยู่ในสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปีหน้านั้น มองว่าเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังผลักดดันเพื่อเพิ่มสีสันและความน่าสนใจด้านซัพพลาย แต่อาจไม่ได้เห็นชัดเจนภายในปีหน้าเลย เพราะกระบวนการไอพีโอต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือหลายๆกรณีใช้เวลาเกือบ 2 ปีขึ้นไป ซึ่งโครงการดังกล่าวที่ได้เปิดตัวภายในช่วงนี้ก็หวังว่าหลายๆบริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี อาทิ BOI หรือ EEC โดยเราจะได้มี engage กับผู้ประกอบการเหล่านั้นและเจาะลึกลงไปถึงด้านความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนและด้านมูลค่า อย่างไรก็ตามคงยังเร็วไปที่จะประเมินว่ามีกี่รายและเข้ามาเมื่อไหร่ แต่คิดว่าอย่างน้อยหากมีโรดแมปที่ชัดเจนทุกอย่างน่าจะเริ่มไหลเข้ามา รวมถึงอยากจะสนับสนุนด้านธุรกิจ New Economy ในกลุ่มนี้ เพราะเข้าใจว่า BOI และ EEC มีกลุ่มธุรกิจนี้ค่อนข้างมาก สำหรับแนวโน้มมูลค่าการเสนอขายไอพีโอที่ลดลงอย่างชัดเจนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลังมูลค่าเสนอขายรวมจาก 17 บริษัทในปีนี้ทำได้เพียง 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงอย่างมากจากช่วงปี 58-61 ที่มูลค่าเสนอขายต่อปีเคยสูงถึงหลักแสนล้านบาท มองว่าเนื่องจากภาวะไอพีโอมีความผูกพันอย่างยิ่งกับภาวะตลาดโดยรวม ในช่วงตลาดขาขึ้นที่ดัชนีและปริมาณซื้อขายสูง บริษัทก็จะต้องการระดมทุนในราคาที่สูงเพื่อนำเม็ดเงินไปลงทุนตามแผนธุรกิจ แต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาสภาพเศรษฐกิจและตลาดไม่คึกคัก ทำให้หลายบริษัทต้องชะลอแผน IPO หรือยกเลิกการเสนอขายไปเลย แม้จะได้รับการอนุมัติแล้ว เนื่องจากเม็ดเงินที่ได้อาจไม่เป็นไปตามความคาดหวังเดิมที่เคยตั้งไว้บนพื้นฐานของตลาดเมื่อ 3-4 ปีก่อน ส่วนกลไกการกำหนดราคาหุ้นไอพีโอที่อาจทำให้ราคาต่ำจองนั้น ยืนยันว่าวิธีการกำหนดราคาในปัจจุบันเป็นวิธีที่ปฏิบัติกันมานานและเป็นหลักสากลที่ดำเนินการกันในตลาดต่างๆทั่วโลก โดยมีหลักการใหญ่ 2 วิธี ได้แก่ 1. Book Building โดยใช้สำหรับการเสนอขายที่มีขนาดใหญ่พอสมควร โดยเป็นการเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบัน เพื่อให้สถาบันประมูลออเดอร์เข้ามา และผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter)จะประเมินราคาที่เหมาะสมที่สุดที่อุปสงค์และอุปทานตัดกัน 2. การเปรียบเทียบ P/E ซึ่งมักใช้สำหรับบริษัทขนาดเล็ก โดยการเปรียบเทียบอัตราส่วน P/E ของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนกับคู่แข่งหรือบริษัทเทียบเคียงในอุตสาหกรรม (ทั้งในและต่างประเทศ) ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเปิดเผยให้นักลงทุนรับทราบอย่างชัดเจน ดังนั้นราคาที่ได้มา ณ จุดไอพีโอจึงถือเป็นราคาที่เหมาะสม (Fair Price) ไม่ว่าราคาตลาดในภายหลังจะขึ้นหรือลงก็ตาม ส่วนกรณีปรากฏการณ์หุ้นต่ำจองนั้น มองว่าหากวัดจากจำนวนบริษัทที่เข้าซื้อขายในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 12 บริษัทพบว่า 8 ใน 12 บริษัท หรือคิดเป็น 2 ใน 3 มีราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาไอพีโอ ณ ราคาปิดเมื่อเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์เพียงจำนวนรายหัวอาจไม่สะท้อนภาพรวมทั้งหมด "ตลท.จะต้องทำงานร่วมกับสมาคมต่างๆ เพื่อสื่อสารให้นักลงทุนเข้าใจว่าการลงทุนในไอพีโอไม่ใช่การแสวงหากำไรข้ามคืน แต่เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดของบริษัทอย่างรอบด้าน ทั้งแผนธุรกิจ ผลประกอบการ และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร เพื่อเลือกบริษัทที่น่าสนใจ เหมือนกับการเลือกซื้อบ้านหรือรถยนต์" นายสรวิศ กล่าว นอกจากนี้กรณีที่บริษัทจดทะเบียนอาจมีการทำ Spin-off หรือบริษัทในเครือ รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ (SET50) บางรายกำลังพิจารณาการไปจดทะเบียนในต่างประเทศ ยอมรับว่าการตัดสินใจเลือกสถานที่จดทะเบียนเป็นสิทธิ์ของผู้ประกอบการ โดยผู้ประกอบการจะพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ราคา (Valuation), ความมั่นคง (Security/Liquidity) และความง่ายของกระบวนการในการเข้าจดทะเบียน (Ease/Predictability) โดย ตลท. ไม่มีนโยบายที่จะใช้มาตรการพิเศษหรือให้สิทธิพิเศษเพื่อห้ามบริษัทเหล่านี้ไปจดทะเบียนที่อื่น แต่สิ่งที่ ตลท.มุ่งเน้นคือการทำให้กระบวนการจดทะเบียนในประเทศไทยให้รื่นไหล เรียบง่าย และคาดการณ์ได้หรือที่เรียกว่า Streamline หากกระบวนการมีประสิทธิภาพและราคายังอยู่ในวิสัยที่ผู้ประกอบการยอมรับได้ เชื่อว่าพวกเขาจะเลือกจดทะเบียนในประเทศไทยเอง |