Kimberly-Clark บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการ Kenvue ในดีลมูลค่า 48,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งข้อตกลงในครั้งนี้เป็นการเข้าซื้อโดยใช้เงินสดและหุ้นรวมกัน คิดเป็นมูลค่าราว 40,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่รวมผลกระทบฝั่งหนี้สิน ขณะที่ราคาหุ้นของ Kenvue พุ่งขึ้น 12% ในวันจันทร์ ส่วน Kimberly-Clark ร่วงลง 14% การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในดีลใหญ่สุดของวอลล์สตรีทในปีนี้ และจะเป็นการรวมแบรนด์ต่าง ๆ อาทิ Huggies และ Kleenex เข้ากับแบรนด์ Band-Aid และ Tylenol ภายใต้ธุรกิจใหม่ โดยจะมี 10 แบรนด์ที่มีมูลค่าระดับพันล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าการควบรวมจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ไมค์ ซู (Mike Hsu) ประธานและซีอีโอของ Kimberly-Clark กล่าวในแถลงการณ์ว่า ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อมอบการดูแลที่พิเศษ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา Kimberly-Clark ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเพื่อปรับพอร์ตไปสู่ธุรกิจที่มีการเติบโตและมีกำไรสูง ขณะเดียวกันก็ได้ปรับโครงสร้างองค์กรให้ทำงานอย่างชาญฉลาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Kenvue ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์ด้านสุขภาพ แยกออกมาจาก Johnson & Johnson (J&J) เมื่อเดือนพ.ค. 2023 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์เกือบ 140 ปีของ J&J หลังจากนั้นเป็นต้นมา ราคาหุ้นของ Kenvue ร่วงลงเกือบ 35% จากราคา IPO ด้าน J&J ได้ขายหุ้นที่เหลือทั้งหมดในบริษัทไปหมดแล้ว บริษัทใหม่ที่เกิดจากควบรวมกิจการคาดว่าจะสร้างรายได้สุทธิประจำปี 2025 ประมาณ 32,000 ล้านดอลลาร์ และ EBITDA หลังปรับทวนแล้ว อยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์ ทางด้านกรรมการบริหารของ Kenvue สามคนจะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการของ Kimberly-Clark หลังข้อตกลงแล้วเสร็จ โดยไมค์ ซู จะยังคงดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอต่อไป ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวอ้างโดยที่ไม่มีมูลความจริงว่า การใช้อะเซตามีโนเฟน (acetaminophen) ซึ่งเป็นส่วนผสมออกฤทธิ์ใน Tylenol ในหญิงตั้งครรภ์มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงภาวะออทิซึม ส่งผลให้หุ้นของ Kenvue ร่วงหนัก ขณะที่บริษัทได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาของทรัมป์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หลายคนระบุว่า Tylenol เป็นยาที่ปลอดภัยที่สุดและเป็นทางเลือกเดียวที่ใช้ในการบรรเทาอาการปวดและมีไข้ในสตรีมีครรภ์ โดยมีชาวอเมริกันกว่า 100 ล้านคนใช้ยาอะเซตามีโนเฟนในแต่ละปี ที่มา CNBC 
|