สมาคมธนาคารไทย เผยเศรษฐกิจไทยโตช้า หวังภาครัฐเร่งเสริมศักยภาพการแข่งขัน และ เร่งแก้หนี้ครัวเรือน มองลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง หวังรวมศูนย์ข้อมูลลูกหนี้เข้าสู่ระบบกลางเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทุกภาคส่วน พร้อมเดินหน้าจัดตั้ง JV AMC คาดเห็นต้นปี 69 ส่วน Virtual Bank ตามกำหนดที่ธปท.วางไว้ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสมาคมธนาคารไทย และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยในปาถกฐาพิเศษ หัวข้อ "CO-CREATE FOR ACTION : REINVENT THAILAND'S NEXT FRONTIER ผสานพลังขับเคลื่อน สู่มิติใหม่อนาคตไทย" ว่า ทุกครั้งที่มีวิกฤตเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบทุกรอบ ซึ่งที่ผ่านมาไทยเติบโตต่ำกว่าคนอื่นทั้งหมด และ หากมองไปในอนาคตก็ยังต่ำอยู่ ตามข้อมูลของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ความท้าทายที่ไทยต้องเผชิญในการก้าวเข้าสู่โลกแห่งอนาคต ทั้งในเรื่องของตัวเมกะเทรนด์ของโลก ทั้งในเรื่องเมกะเทรนด์ของไทย ทั้งหมดกระทบกับไทยทั้งสิ้น โดยสิ่งที่เกิดขึ้น คือ แล้วจะทำอย่างไรในพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะทำตัวให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพลวัตนั้น ได้ประโยชน์กับประชากร และ เศรษฐกิจของไทย ซึ่งจะเห็นว่าโลกการค้าการขาย การบริการ มุ่งกลับสู่ ASEAN of the world ทั้งหมด และ การค้าขายระหว่างจีนกับอาเซียน หรือ Emerging Market โดยสถานะปัจจุบันของความมั่นใจในระบบกลไกตลาดมีความท้าทายเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดหลังจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ โดยทางภาคเอกชน 3 สถาบันผ่านกกร. ได้สรุปร่วมกับ 6 หน่วยงานว่า ปัญหาของประเทศไทยวันนี้มีอยู่ 3 กลุ่มหลักด้วยกัน กลุ่มที่ 1 คือ สถานะหนี้สูง หนี้ครัวเรือน หนี้ภาคเอกชน หนี้ภาครัฐ ปัญหาที่ 2 คือความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาที่ 3 คือ ประสิทธิภาพของกลไกภาครัฐ ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลได้ประกาศนโยบายอยู่บน 5 แกนด้วยกันผ่านการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว ประกอบด้วย อย่างแรก กระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น คนละครึ่งพลัส บัตรสวัสดิการ กระตุ้นท่องเที่ยว เร่งรัดเบิกจ่าย ราคาสินค้าเกษตร เศรษฐกิจชายแดน รับมือภาษีสหรัฐฯ FTA บุกตลาดใหม่ อย่างที่สอง คือ ลดภาระประชาชน เช่น การแก้หนี้ครัวเรือน Ari Score ดูแลค่าครองชีพ อย่างที่สาม คือ ส่งเสรอมเอสเอ็มอี เช่น ค้ำประกันสินเชื่อ Soft Loan พี่ช่วยน้อง คืนภาษี มาตรการอุตสาหกรรมใหม่ อย่างที่สี่ คือ เพิ่มออมประชาชน เช่น สลากเพื่อการออม พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออม และ อย่างที่ห้า คือ ลงทุนเพื่ออนาคต เช่น พลังงานสะอาด Reskill ทักษะสูง ปรับกฎระเบียบ ซึ่งในการขับเคลื่อนทั้งหมดอยู่บนฐานของเสถียรภาพทางการค้าคลัง 
อย่างไรก็ตาม วันนี้จะเห็นโครงสร้างล่าสุดของสภาพหนี้ของประเทศว่าพึ่งพาหนี้นอกระบบสูง โดยสัดส่วนของการที่มีหนี้มากขึ้นจากในปี 2567 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 82.8% ซึ่งสัดส่วนหนี้ในระบบลดลง เพราะจีดีพีสูงขึ้น แต่ตัวปริมาณหนี้ยังคงอยู่ แต่หนี้นอกระบบสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึง 114% ในขณะที่ถ้าดู net ประมาณ 101% โดยที่มีสัดส่วน 14% เป็นหนี้นอกระบบ หนี้ทั้งหมดในประเทศไทยมีผู้ให้บริการปล่อยกู้ถึง 9,723 ราย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของมีผู้แข่งขันที่พอเพียง แต่คำถามถือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเชิงโครงสร้าง ทำไมคนยังต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบอยู่ ซึ่งจะเห็นว่าผู้ประกอบการที่ไม่ใช่อยู่ในกลุ่มแบงค์ หรือ ธนาคารเฉพาะกิจมีมากกว่า 30% และ ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้มีข้อมูลอยู่ในระบบฐานข้อมูลเครดิตบูโร (NCB) โดยสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในระยะต่อไป คือ การรวมศูนย์ข้อมูลลูกหนี้เข้าสู่ระบบกลาง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ ที่เท่าเทียมกันของทุกภาคส่วนตาม spirit ของ responsible lending และ market conduct โดยที่ไม่มีภาคส่วนใดมีข้อได้เปรียบจากกฏกติกาที่ไม่เท่าเทียมกัน "สิ่งที่สะท้อนให้เห็นในระยะเวลาอันสั้น คือ ภาครัฐ และ ภาคเอกชน ได้เร่งขับเคลื่อนดำเนินงานทำงานร่วมกัน คิดร่วมกัน ลงมือทำได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และ เกิดความพยายามที่จะ connect the dot ผ่านกลไกต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายของการเชื่อมโยงข้อมูล ซึ่งสิ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นตัวหนึ่ง คือ การแก้หนี้ครัวเรือน ทำให้เกิดการจัดตั้ง JV AMC แก้หนี้รายย่อยที่มี NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท คิดเป็นลูกหนี้ 3.4 ล้านราย และ มีหนี้รวม 122,000 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ติดกับดักหนี้ครัวเรือน เราจะทำอย่างไรให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ปิดหนี้ได้อย่างรวดเร็ว และ ที่สำคัญที่สุด คือ จะเป็นครั้งแรกที่ยึดลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ไม่ใช่ยึดแต่ละก้อนหนี้ แต่ละมูลหนี้ โดยที่ไม่ได้ดูองค์รวม ตลอดจนอยากให้เกิดความต่อเนื่องของมาตราการ เพื่อให้ลูกหนี้ออกจากกับดักหล่มหนี้ เรียนรู้ มีวินัย กลับมาฟื้นตัวได้เร็ว สามารถเข้าสู่หนี้ในระบบ เศรษฐกิจในระบบได้โดยเร็ว บนทักษะ และ ความสามารถ และ โอกาสในการสร้างแข่งขัน และ สร้างรายได้อย่างเหมาะสม"นายผยง กล่าว ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกหลักเกณฑ์ส่งเสริมการจัดตั้งกิจการร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงิน (ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และบริษัทบริหารสินทรัพย์ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด 19 โดยสิ้นสุดระยะเวลาการจัดตั้งเมื่อปี 2567 นั้น ในส่วนของ ธนาคารกรุงไทย มีแผนที่จะจัดตั้ง JV AMC ในต้นปี 2569 โดยกำลังพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งธนาคารมีการศึกษาทุกแนวทาง และ อาจจะมีการจัดตั้งมากกว่า 1 แห่ง โดยรูปแบบ หรือ หลักเกณฑ์แยกออกอย่างชัดเจน ซึ่งหากเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน และ มูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ก็จะโอนไปยัง SAM แต่หากเป็นหนี้ที่มากกว่า 1 แสนบาท และ มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ ก็จะเข้าเงื่อนไขที่จะจัดตั้ง JV AMC ของธนาคารเอง "ต้นปีหน้าจะเห็นการจัดตั้ง JV AMC ของธนาคาร ซึ่งอาจจะมี 1 ราย หรือ 2 ราย และ อาจจะเกิดเลยทันที หรือ อาจจะเกิดในระยะถัดไป แต่จุดประสงค์หลัก คือ การลดหนี้ให้กับลูกค้า ส่วนความคืบหน้าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา หรือ Virtual Bank ที่ร่วมกับ AIS และ OR จัดตั้ง ธนาคารคลิกซ์ หรือ CLIX นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม และ จัดตั้ง Virtual Bank ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามกำหนดเวลาที่ธปท.วางไว้"นายผยง กล่าว 
|