กกร. คงเป้าจีดีพีปี 68 โต 1.8-2.2% อัพเป้าส่งออกเป็นโต 9.5-10.5% จากเดิมคาด 2-3% แต่หั่นเป้าเงินเฟ้อเป็น -0.1 ถึง 0.1% จาก 0.5-1.0% หวังรัฐฯ เร่งเบิกจ่ายงบปี 69 - มาตรการ Quick Big Win ช่วยดันศก.ปีนี้โตใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.5% ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ยังคงเป้าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 68 ที่ 1.8%-2.2% ขณะที่การ ส่งออกได้ปรับเพิ่มประมาณการเป็นโต 9.5%-10.5% จากเดิมคาดโต 2-3% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขประมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูง แต่จะไม่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนของวัตถุดิบหรือมูลค่าที่ผลิตในประเทศ (local content) ต่ำมาก รวมถึงกลุ่ม ทองคำ ซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ขณะที่ การนำเข้าประเมินว่าจะขยายตัวสูงถึง 10.2% ด้านเงินเฟ้อปีนี้ ได้ปรับประมาณการลง อยู่ที่ -0.1% ถึง 0.1% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 0.5-1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง อย่างไรก็ดี หากช่วงที่เหลือของปี รัฐบาลสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่า่ง "คนละครึ่งพลัส" และ มาตรการสนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5% ด้านเศรษฐกิจโลก ทางกกร.มองว่าขยายตัวดีกว่าที่คาด นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ขยายตัวดีต่อเนื่องแม้จะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยล่าสุด IMF ประเมิน GDP โลกปี 2568 โต 3.2% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.0% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออกมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าส่งออกของไทยที่ขยายตัวแรงมี Local Content ต่ำจึงส่งผลต่อ GDP อย่างจำกัด สำหรับตลาดแรงงานที่เปราะบางเป็นปัจจัยท้าทายการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย อัตราว่างงานในระบบประกันสังคมล่าสุดในไตรมาส 2/68 แตะ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปี และ อัตราการว่างงานภาคอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่เร่งตัว จากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งซ้ำเติมแผลเป็นจากช่วงโควิดที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้นกระทบต่อผลิตภาพแรงงาน นอกจากนี้ สมาคมธนาคารไทย ร่วมกับภาครัฐ และ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ให้ครัวเรือนหลุดพ้นจากกับดักหนี้ โดยยึดลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric) ด้วยการรวมศูนย์หนี้ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) สำหรับลูกหนี้รายย่อย ผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อแก้หนี้รายย่อยที่มียอดหนี้ NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 122,000 ล้านบาท พร้อมมีแนวทางในการยกระดับรายได้ โดยมีแรงจูง และ ให้แต้มต่อเพื่อให้ลูกหนี้มีความพร้อม และ สามารถเข้าสู่ระบบกลไกตลาดตามปกติ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลศักยภาพของลูกหนี้ พร้อมมุ่งเน้นให้มีการรวมประเภทหนี้ทั้งหมดจากเจ้าหนี้ทุกประเภทใบอนุญาต ที่เข้ามาในการแก้หนี้ในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม กกร. รับทราบความคืบหน้าโครงการ “Reinvent Thailand” เพื่อยกระดับประเทศไทย โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อน 6 อุตสาหกรรม (Priority Sectors) ที่บทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน ได้แก่ 1.เกษตรและอาหาร 2.ยานยนต์ 3.อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 4. สุขภาพและการแพทย์ 5.ท่องเที่ยว และ 6.ค้าปลีก โดย กกร. จะมีเจ้าภาพในการผลักดันในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain และ ผลักดันการช่วยเหลือในรูปแบบ “พี่ช่วยน้อง” ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยประคอง SMEs อีกทั้ง ยังเชื่อมโยงกับมาตรการช่วยเหลือ และ โครงการต่างๆ ของภาครัฐ และ ภาคเอกชน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ 
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มีความกังวลกับร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด และร่างพระราชบัญญัติโรงงานที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และ ลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ดังนั้น กกร. จึงเห็นว่าการจัดทำกฎหมายที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง พร้อมจัดทำการประเมินผลกระทบกฎหมาย (RIA) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้กฎหมายมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว "ทางกกร. ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ เพราะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตลาดแรงงาน ภาคธุรกิจ การลงทุนจากต่างประเทศ ต้นทุน ซึ่งในวันพุธหน้าจะมีแถลงข่าวใหญ่ถึงเรื่องนี้"ดร.พจน์ กล่าว ที่ประชุม กกร. มีมติสนับสนุนแนวทางดำเนินงานของภาครัฐในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย พ.ศ. .. เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดระบบราชการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองความต้องการประชาชนได้ทันเวลา พร้อมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. .... (ร่างฯ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯฉบับใหม่) ให้มีผลใช้บังคับ รวมไปถึง สนับสนุนแนวทางปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ (Regulatory Guillotine) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และการให้บริการประชาชนไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการบริหารภาครัฐ และ การปฏิรูปกฎหมาย โดย กกร. จะดำเนินการร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม 
|