ฮอนด้า มอเตอร์ ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น มีแนวโน้มร่วงจากอันดับ 2 ลงมาอยู่อันดับ 4 เมื่อวัดจากจำนวนยอดขายทั่วโลกของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น หลังบริษัทปรับลดคาดการณ์ยอดขายในช่วงครึ่งหลังของปีงบการเงินปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2026 ฮอนด้า คาดว่ายอดขายในช่วงเดือนต.ค.–มี.ค. จะลดลง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน สู่ระดับ 1.66 ล้านคัน เนื่องจากกำลังการผลิตในอเมริกาเหนืออ่อนแรงลง จากภาวะขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ในทางกลับกัน ซูซูกิ มอเตอร์ อีกค่ายผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่น คาดว่ายอดขายช่วงเดียวกันจะเพิ่มขึ้น 8% สู่ระดับ 1.8 ล้านคัน ส่งผลให้ขึ้นมารั้งอันดับ 2 เป็นครั้งแรก โดยมีโตโยต้า มอเตอร์ ที่ยังคงครองอันดับ 1 ประมาณการดังกล่าว ทำให้ฮอนด้า มีโอกาสหลุดโผท็อป 3 ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่มียอดขายสูงสุด ในช่วงครึ่งปี (ต.ค.–มี.ค.) เป็นครั้งแรก ตามเอกสารทางการเงินย้อนหลังไปถึงปี 2005 ปัญหาชิปขาดแคลน ส่งผลกระทบต่อฮอนด้าอย่างรุนแรง หลังการจัดส่งชิปจาก Nexperia ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติดัตช์ ซึ่งมีจีนเป็นเจ้าของ ถูกระงับลง ทำให้บริษัทต้องลดคาดการณ์ยอดขายในอเมริกาเหนือช่วงต.ค.–มี.ค. ลงอีก 110,000 คัน จากตัวเลขเดิมที่เคยประเมินไว้ โดยฮอนด้าพึ่งพา Nexperia เพียงรายเดียวในการจัดหาชิ้นส่วนบางประเภท ซึ่งโรงงานของฮอนด้าในสหรัฐฯ แคนาดา และประเทศอื่น ๆ ต้องปรับลดกำลังการผลิตลงตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค. ขณะที่โรงงานในเม็กซิโกหยุดสายการผลิตในวันที่ 28 ต.ค. 
ฮอนด้ากลับมาดำเนินการผลิตในเม็กซิโกอีกครั้งเมื่อวันที่ 19 พ.ย. หลังระบุว่าสามารถจัดหาชิปได้อย่างมั่นคง และการผลิตในสหรัฐฯ และแคนาดาก็ทยอยกลับสู่แผนเดิมตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา โดยยอดขายในอเมริกาเหนือมีสัดส่วนสูงต่อรายได้ของฮอนด้า โดยยอดขายในช่วงเม.ย.–ก.ย. เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบรายปี แตะ 856,000 คัน คิดเป็นกว่า 50% ของยอดขายรวมทั่วโลกที่ 1.68 ล้านคัน วิกฤตชิปครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้ประมาณการกำไรปฏิบัติการของฮอนด้า จะลดลง 150,000 ล้านเยน (ราว 956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ส่งผลให้กำไรปฏิบัติการตลอดปีลดลง 55% เหลือ 550,000 ล้านเยน โดยฮอนด้า กำลังทบทวนแนวทางลดความเสี่ยง พร้อมเดินหน้าหาแหล่งจัดหาชิปรายใหม่ เพื่อลดการพึ่งพา Nexperia แต่เพียงรายเดียว รวมถึงพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตในอเมริกาเหนือผ่านการทำงานในวันหยุด โดยผู้บริหารรายหนึ่งระบุว่า การเพิ่มรอบการผลิตอาจช่วยเรียกคืนยอดขายบางส่วนที่หายไปได้ ทั้งนี้ ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ยังส่งผลต่อผู้ผลิตรถรายอื่นด้วย โดยนิสสัน มอเตอร์ ต้องปรับลดกำลังผลิตในโรงงานญี่ปุ่น และคาดว่าจะกระทบต่อกำไรปฏิบัติการตลอดปีราว 25,000 ล้านเยน ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โตโยต้า ฮอนด้า และนิสสัน ครอง 3 อันดับแรกของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นตามยอดขายทั่วโลก แม้นิสสันอยู่ในภาวะซบเซามาตั้งแต่ปี 2017 ขณะที่ฮอนด้ายังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้ต่อเนื่อง สำหรับซูซูกิ ซึ่งกำลังไต่ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 แม้ได้ถอนตัวออกจากตลาดสหรัฐฯ จีน และบางประเทศ แต่ยังทำผลงานได้ดีในตลาดอินเดียที่เติบโตแข็งแกร่ง ปัจจุบันซูซูกิครองส่วนแบ่งตลาดอินเดียถึง 40% แม้ต้องเผชิญการแข่งขันจากค่ายรถเกาหลีใต้และผู้ผลิตอินเดียท้องถิ่น แต่ยอดขายยังขยายตัวต่อเนื่อง ที่มา Nikkei Asia 
|