
ราคาทองคำยังคงเป็นที่จับตาอย่างต่อเนื่อง เพราะแม้ว่าในช่วงนี้ราคาปรับฐานลดควมร้อนแรงของราคาลง แต่ทิศทางหลักๆ ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง ประกอบกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก หนุนการเข้าซื้อสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลก
โดยธนาคารยักษ์ใหญ่อย่างเจพี มอร์แกน (J.P. Morgan) ประเมินว่า ราคาทองคำเฉลี่ยจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 5,055 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในไตรมาส 4/69 ซึ่งการคาดการณ์ที่มองบวกอย่างโดดเด่นนี้ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ซึ่งในรายงานระบุว่า แนวโน้มขาขึ้นของราคาทองคำจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มเข้าสู่รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดควบเงินเฟ้อ (stagflation) ความเป็นอิสระของเฟด และแรงซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการด้อยค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นเสมือนเชื้อเพลิงผลักดันให้ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน
ด้านนักวิเคราะห์ของเจพี มอร์แกนยังได้ประเมินสถานการณ์ที่น่าสนใจว่า หากนักลงทุนต่างชาติที่ถือสินทรัพย์สหรัฐฯ ตัดสินใจลดสัดส่วนการถือครองลงจากราว 45% เหลือ 43% และนำเพียง 0.5% ของพอร์ตการลงทุนมาลงในทองคำ อาจทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นไปได้ถึง 6,000 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกของธนาคารได้เน้นย้ำว่า แม้สินทรัพย์ของสหรัฐฯ จะยังคงเป็นแกนหลักของพอร์ต แต่หลายบริษัทก็กำลังปรับลดสัดส่วนลงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มทองคำเข้าในพอร์ตอย่างมีนัยสำคัญ
การมองบวกของเจพี มอร์แกนสอดคล้องกับสถาบันการเงินและโบรกเกอร์ระดับโลกหลายแห่งที่ต่างปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในช่วงปี 68 – 69 โดยมีแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ และความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ สำหรับเจพี มอร์แกนนั้นถือเป็นสถาบันที่มองบวกมากที่สุด โดยคาดว่าราคาทองเฉลี่ยในปี 69 จะอยู่ที่ 4,753 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และจะทำราคาสูงสุดที่ 5,055 ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 4/69 ขณะที่ Bank of America และ Société Générale ก็ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำปี 69 ขึ้นสู่ระดับ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน