
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยเริ่มมีการปรับตัวบวกขึ้นได้เล็กน้อย ซึ่งถือเป็นการเก็งกำไรตามรอบหลังจากที่ดัชนีมีการปรับตัวลงไปค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความผันผวนนี้ยังมีปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งปัจจัยภายในประเทศและสถานการณ์โลก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนในเดือนธันวาคมและปีถัดไป
ดังนั้นในวันนี้เราจะพาไปวิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยท้ายเดือนพฤศจิกายน เจาะลึกปัญหาสภาพคล่องและกลยุทธ์ลงทุนรับปีหน้า จากการสัมภาษณ์พิเศษคุณสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (Globlex Group) ในรายการ F1 Money

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ กังวลแต่ไม่วิกฤต สำหรับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ คุณสุวัฒน์อธิบายว่าในปัจจุบัน แม้จะมีความกังวลเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจบ้างเป็นระยะ แต่ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตและเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่ดิ่งเหว ประเด็นที่ต้องติดตามคือ “เงินเฟ้อภาคบริการ” (Service Inflation) ซึ่งมีน้ำหนักกว่า 2 ใน 3 ของการทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น โดยมาจากค่าบ้าน ค่าเช่า และค่าประกันต่างๆ
ในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะมีการปรับฐานบ้าง แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงออกมาดีมากจนวิ่งไล่ตามราคาหุ้น ทำให้ระดับ Valuation หรือ P/E Ratio ไม่ได้สูงจนเกิดภาวะฟองสบู่ (Bubble) เหมือนยุค Dot Com โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม AI ที่กำไรเติบโตทันราคา
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ : จีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน
สถานการณ์ระหว่างประเทศที่น่าจับตามอง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นภายใต้การนำของผู้นำคนปัจจุบัน พยายามผลักดันการแก้ไขมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนจากกองทัพป้องกันตนเองเป็นกองทัพปกติ โดยใช้ประเด็นไต้หวันและแรงกดดันจากจีนเป็นเงื่อนไข อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นมีความเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์สูงเนื่องจากต้องนำเข้าอาหารจำนวนมากและนำเข้าพลังงานถึง 95% หากเกิดข้อพิพาทรุนแรงอาจได้รับผลกระทบหนัก ซึ่งในท้ายที่สุดเชื่อว่า สถานการณ์จะเป็นเกมการต่อรองมากกว่าการปะทะกันเต็มรูปแบบ
การเมืองไทยกับผลกระทบต่อความเชื่อมั่น
สำหรับสถานการณ์การเมืองในประเทศ ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ใครจะชนะการเลือกตั้ง แต่อยู่ที่กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะใช้เวลานานเพียงใด หากยืดเยื้อ 4-5 เดือนเหมือนในอดีต อาจส่งผลให้งบประมาณภาครัฐค้างเติ่ง ซึ่งจะกระทบต่อ GDP ของไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากน้ำหนักการใช้จ่ายภาครัฐมีผลต่อเศรษฐกิจสูง หากการจัดตั้งรัฐบาลทำได้เร็วภายใน 1-2 เดือน ก็จะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบมากนัก
สถานะปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ เปรียบเสมือนผู้ป่วยที่อาการน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นและกลไกตลาดที่บิดเบี้ยว ซึ่งสามารถจำแนกปัญหาหลักออกเป็น 3 ประการสำคัญ ดังนี้
ปัจจัยที่มีน้ำหนักมากที่สุดถึง 50% ของปัญหาทั้งหมด คือ เรื่องของ “ความน่าเชื่อถือ” หรือ Credibility ซึ่งในขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธาอย่างรุนแรง ทั้งจากนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนต่างชาติ สาเหตุหลักมาจากการปรากฏข่าวเชิงลบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นข่าวการฉ้อโกงในบริษัทจดทะเบียน หรือพฤติกรรมการเอาเปรียบทางการค้า
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนเกิดความรู้สึกคลางแคลงใจต่อธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล โดยมองว่าตลาดทุนไทยกำลังกลายเป็น “พื้นที่สีเทา” หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น “ตลาดหุ้นเทา” ซึ่งบั่นทอนความมั่นใจในการนำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภาพลักษณ์ความโปร่งใสที่เคยเป็นจุดแข็งถูกตั้งคำถามจากสังคมการลงทุน
ปัญหาที่รองลงมาแต่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ “สภาพคล่อง” ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 30-50% ของปัญหาทั้งหมด หากพิจารณาปริมาณการซื้อขายในปัจจุบันและหักลบส่วนที่มาจากการซื้อขายด้วยโปรแกรมอัตโนมัติ หรือ Algorithm ออกไป จะพบความจริงที่น่าตกใจว่า ปริมาณการซื้อขายที่แท้จริงจากนักลงทุนอาจเหลือเพียงระดับหมื่นกว่าล้านบาทต่อวันเท่านั้น
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังย้อนกลับไปสู่สภาวะเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำจนน่ากังวล สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ เพราะโครงสร้างรายได้และค่าคอมมิชชันในปัจจุบันไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจภายใต้ปริมาณการซื้อขายที่เบาบางเช่นนี้ ทำให้สภาพคล่องกลายเป็นปัจจัยชี้วัดความเป็นความตายของผู้เล่นในตลาด
แม้คุณสุวัฒน์จะให้น้ำหนักกับประเด็นนี้น้อยกว่าสองข้อแรก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนไทยบางส่วนที่ลดลง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดัน อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้มักเป็นผลสืบเนื่องมาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการปรับตัวของภาคธุรกิจมากกว่าจะเป็นสาเหตุหลักเพียงอย่างเดียว
ความท้าทายของกฎเกณฑ์ : เมื่อมาตรการ “ไม่ฟิต” กับสถานการณ์
นอกจากปัญหาหลักทั้งสามประการแล้ว ประเด็นเรื่องกฎระเบียบและการกำกับดูแล (Regulation) ยังเป็นสิ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิเคราะห์อย่างเข้มข้น โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่ากฎเกณฑ์ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอาจขาดความ “เหมาะสม” กับบริบทของตลาดที่เปลี่ยนไป
ในอดีต มาตรการต่างๆ มักถูกออกแบบมาเพื่อ “สกัดขาขึ้น” หรือป้องปรามความร้อนแรงของตลาด เช่น การใช้มาตรการ Cash Balance หรือ Trading Alert เพื่อลดการเก็งกำไรที่เกินพอดี แต่ในทางกลับกัน ตลาดกลับขาดแคลนมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการ “ดูแลขาลง” อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีการซื้อขายก้าวหน้าไปไกล การทำธุรกรรมขายชอร์ต ผ่านระบบอัลกอริทึมสามารถทำกำไรได้มหาศาลและรวดเร็วในสภาวะตลาดขาลง โดยอาศัยเพียงจังหวะและรูปแบบกราฟ โดยไม่ต้องคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเป็นการซ้ำเติมดัชนีให้ทรุดตัวลงรุนแรงยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กฎเกณฑ์ของตลาดหุ้นไทยยังถูกตั้งข้อสังเกตว่ามักเน้นการปราบปรามในขาขึ้น (เช่น ติด Cash Balance) แต่ขาดมาตรการดูแลในขาลง ทำให้การทำ Short Sell ผ่าน Algorithm สามารถทำกำไรได้ง่ายและซ้ำเติมดัชนี
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญของโลก ซึ่งไม่ได้เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เกิดจากการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผสมผสานกับการจัดระเบียบโลกใหม่แบบหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World)
ปรากฏการณ์ “โลกหลายขั้ว” และการเติบโตแบบไร้วิกฤต
สิ่งที่น่าสนใจในปัจจุบัน คือ การที่ราคาสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและบิตคอยน์ รวมถึงสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ต่างปรับตัวสูงขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเงิน ตามทฤษฎีดั้งเดิม สินทรัพย์เหล่านี้มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม แต่คุณสุวัฒน์ได้วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันเราไม่ได้เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตการเงิน หรือวิกฤตพลังงานที่รุนแรง
ในทางตรงกันข้าม โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “โลกหลายขั้ว” ซึ่งนำไปสู่กระบวนการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ทองคำมีบทบาทใหม่ นอกเหนือจากการป้องกันเงินเฟ้อ คือ การทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการถูกคว่ำบาตร ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล : รากฐานที่ทำให้ AI แตกต่างจากยุค Dot-Com
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด คือ เทคโนโลยี AI อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลว่ากระแสความตื่นตัวนี้จะเป็นเพียงฟองสบู่เหมือนยุค Dot-Com หรือไม่ ประเด็นนี้คุณสุวัฒน์ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนว่า ในอดีตโลกยังขาดความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน อินเทอร์เน็ตยังมีความเร็วต่ำ (ยุค 3G) ไม่มีสมาร์ตโฟนที่มีประสิทธิภาพ และไม่มีระบบอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง ทำให้เทคโนโลยีในยุคนั้นไม่สามารถสร้างกำไรได้จริง
แต่ในปัจจุบัน โลกมีความพร้อมด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (5G) ชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง และแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมโยงถึงกัน ทำให้ AI สามารถทำงานได้จริงและสร้างผลกำไรให้กับบริษัทจดทะเบียนได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังจะเห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่เติบโตสอดคล้องกับราคาหุ้น
นิยามใหม่ของการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation)
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้นิยามของ “สินทรัพย์หลัก” และ “สินทรัพย์ทางเลือก” เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

สำหรับมุมมองทางเทคนิคที่ผสมผสานกับปัจจัยพื้นฐาน ผ่านทฤษฎีที่น่าสนใจอย่าง “กฎการขึ้น 3 ลง 1” เปรียบเสมือนเข็มทิศให้นักลงทุนไม่ตื่นตระหนกเมื่อตลาดแดง แต่กลับมองเห็นโอกาสในการสะสมสินทรัพย์คุณภาพ โดยแบ่ง ได้ดังนี้
แก่นแท้ของทฤษฎี : สัดส่วนทองคำแห่งความเชื่อมั่น
ทฤษฎี “ขึ้น 3 ลง 1” ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขทางคณิตศาสตร์ แต่เป็นภาพสะท้อนจิตวิทยาตลาดและโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยคุณสุวัฒน์ อธิบายว่า หากสินทรัพย์ใดมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับอย่างแท้จริง โครงสร้างของผู้ถือครองสินทรัพย์นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
ดังนั้น เมื่อราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นไป 3 ส่วน แรงขายทำกำไรจากกลุ่มเก็งกำไรจะทำให้ราคาปรับฐานลงมาประมาณ 1 ส่วน (หรือเทียบเท่า 33 เปอร์เซ็นต์ของการขึ้น) ซึ่งสอดคล้องกับระดับ Fibonacci Retracement ทางเทคนิค การปรับลงในระดับนี้จึงถือเป็น “สัญญาณสุขภาพดี” ของตลาด เพราะแสดงให้เห็นว่ายังมีผู้เล่นรายใหญ่ที่เชื่อมั่นในพื้นฐานถือครองอยู่อย่างเหนียวแน่น
ตลาดหุ้นไทย สัญญาณชีพยังปกติ
เมื่อนำทฤษฎีนี้มาจับกับความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ ดัชนีได้ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดบริเวณ 1060 จุด ทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดแถว 1340 จุด คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมาประมาณเกือบ 300 จุด
หากคำนวณตามสูตร “ขึ้น 3 ลง 1” การพักตัวที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 100 จุด (1 ใน 3 ของ 300 จุด) ซึ่งเมื่อหักลบจากจุดสูงสุด จะได้ระดับเป้าหมายการปรับฐานที่บริเวณ 1250 จุด
ทองคำ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยและการรอคอยที่คุ้มค่า
ในส่วนของราคาทองคำ คุณสุวัฒน์ ชี้ให้เห็นว่า สินทรัพย์ชนิดนี้มีพฤติกรรมราคาที่เคารพกฎ “ขึ้น 3 ลง 1” มาอย่างต่อเนื่องและแม่นยำ โดยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้วถึง 3 รอบใหญ่
ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนทองคำในช่วงนี้ คือ “ความอดทน” การรีบเข้าซื้อทันทีอาจไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุด แต่ควรรอให้ราคาปรับฐานลงมาจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ในกรอบ 3900 ถึง 4000 ดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นจุดเข้าสะสมที่มีความปลอดภัยและมีแต้มต่อทางราคามากที่สุด
บทเรียนจากบิตคอยน์ : เมื่อพื้นฐานเปลี่ยน กราฟก็เปลี่ยน
นอกจากนี้ ยังมีการเปรียบเทียบที่น่าสนใจกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) ในอดีต บิตคอยน์ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เก็งกำไรสูงที่ไม่มีพื้นฐานรองรับชัดเจน ทำให้เวลาราคาขึ้นแรง ก็มักจะปรับตัวลงแรงในสัดส่วน “ขึ้น 3 ลง 2” หรือ “ขึ้น 3 ลง 1.5” ซึ่งสะท้อนความผันผวนที่สูงกว่าสินทรัพย์ปกติ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเมื่อเริ่มมีปัจจัยพื้นฐานเข้ามารองรับ เช่น การอนุมัติ ETF ของสหรัฐฯ หรือการยอมรับในระดับสถาบัน ทำให้แนวโน้มการปรับฐานของบิตคอยน์เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และอาจค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมเข้าสู่กฎ “ขึ้น 3 ลง 1” เหมือนสินทรัพย์หลักอื่น ๆ ในอนาคต หากได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์
คุณสุวัฒน์ อธิบายว่า แม้ไทยจะไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มหรือผู้นำเทคโนโลยี แต่เรามีศักยภาพที่จะเป็น “ผู้ตามที่รวดเร็ว” หรือ Fast Follower ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งเดิมของประเทศ ดังนั้นการเฟ้นหาหุ้นไทยที่มีอนาคตในปีหน้า จึงควรโฟกัสไปที่กลุ่มธุรกิจที่สามารถ “ต่อยอด” จุดเด่นเดิมด้วยนวัตกรรมใหม่ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ดังนี้
ประเทศไทยมีความได้เปรียบเรื่องวัตถุดิบทางการเกษตรเป็นทุนเดิม แต่ปัญหาในอดีตคือการขายวัตถุดิบขั้นต้นที่ราคาต่ำและผันผวนตามตลาดโลก ในทางกลับกัน ธุรกิจที่น่าจับตามองคือบริษัทที่สามารถแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
กรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ บมจ. ไทยวา (TWPC) ซึ่งไม่ได้ทำธุรกิจเพียงแค่แป้งมันสำปะหลังแบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่ได้ยกระดับไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีมูลค่าสูง เช่น วุ้นเส้นและก๋วยเตี๋ยวสำเร็จรูป ซึ่งสอดรับกับเทรนด์ความต้องการอาหารสำเร็จรูปของโลก โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่ยังคงเติบโต การปรับเปลี่ยนโครงสร้างรายได้จากสินค้าโภคภัณฑ์มาเป็นสินค้าที่มีแบรนด์และนวัตกรรมอาหาร ทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ยั่งยืนกว่าเดิม
แม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศที่คิดค้นยารักษาโรคใหม่ระดับโลก แต่ไทยมีความแข็งแกร่งในฐานะศูนย์กลางทางการแพทย์ และมีความรวดเร็วในการรับเทคโนโลยีการรักษาใหม่มาใช้ ยิ่งไปกว่านั้น เทรนด์ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการแพทย์ในช่วงปลายปีหน้าคือ “สเต็มเซลล์”
ในอดีต คนส่วนใหญ่อาจรู้จักสเต็มเซลล์ในแง่ของความงามหรือการชะลอวัย แต่ปัจจุบันเทคโนโลยี AI และชีวภาพได้ก้าวหน้าไปจนถึงขั้นที่สามารถใช้สเต็มเซลล์และยีนของตนเอง มารักษาโรคที่รักษายาก (Rare Diseases) เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งถือเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยที่สุดเพราะมาจากเซลล์ของร่างกายผู้ป่วยเอง
บริษัทที่โดดเด่นและเป็นผู้นำในด้านนี้ คือ บมจ. เมดีส กรุ๊ป (MEDEZE) ซึ่งดำเนินธุรกิจธนาคารสเต็มเซลล์และการรักษาด้วยเซลล์บำบัด การเป็น Fast Follower ในกลุ่มนี้หมายถึงการนำเทคโนโลยีการแพทย์ชั้นสูงจากต่างประเทศมาให้บริการในไทยด้วยมาตรฐานสากล ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงมากในสังคมผู้สูงอายุ
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการยังคงเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี การลงทุนในกลุ่มนี้ต้องเลือกบริษัทที่มี “ป้อมปราการ” ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง หรือครองตลาดเฉพาะกลุ่ม ที่คู่แข่งเข้ามาได้ยาก
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ บมจ. การบินกรุงเทพ (BA) หรือ Bangkok Airways ซึ่งได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการท่องเที่ยวเกาะสมุยที่ยังคงเติบโตอย่างโดดเด่น จุดแข็งของ BA คือการเป็นเจ้าของสนามบินสมุย ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสมุยยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ BA เป็นหุ้นในกลุ่มบริการที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในปีหน้า

โดยสรุป สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ แม้จะดูเหมือนเต็มไปด้วยแรงกดดันจากปัญหาสภาพคล่องและวิกฤตศรัทธา แต่หากพิจารณาผ่านเลนส์ของทฤษฎี “ขึ้น 3 ลง 1” จะพบความจริงที่ว่า การปรับฐานดังกล่าวถือเป็นกลไกปกติของตลาดที่มีพื้นฐานรองรับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสินทรัพย์ไทยยังคงมีความแข็งแกร่งในระดับที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวได้ ไม่ใช่การทรุดตัวลงอย่างไร้ทิศทาง
ในทางกลับกัน ปัจจัยบวกที่เริ่มก่อตัวขึ้นจากการวางตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของประเทศที่ชาญฉลาด ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจโลก จะเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยรักษาเสถียรภาพได้ในปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ คุณสุวัฒน์ สินสาฎก ได้เน้นย้ำทิ้งท้ายไว้คือ หัวใจสำคัญของการลงทุนในยุคนี้ไม่ใช่การรอคอย “คำตอบสุดท้าย” (Final Solution) จากนักวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว แต่คือการที่นักลงทุนต้องนำข้อมูลและวิธีคิดไปต่อยอดด้วยตนเอง
เพราะในโลกการลงทุนที่หมุนเร็วด้วยเทคโนโลยี AI และมีความซับซ้อนหลายมิติ “ความเสี่ยง” มักเกิดจาก “ความไม่เข้าใจ” หากนักลงทุนสามารถทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของพื้นฐานสินทรัพย์และอ่านเกมการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ขาด ความผันผวนที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัว แต่จะกลายเป็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนในระยะยาว
| องค์ประกอบ | สัดส่วน | ลักษณะพฤติกรรม | ผลลัพธ์ทางราคา |
| กลุ่มถือยาว(Buy and Hold) | 2 ใน 3 | เชื่อมั่นในพื้นฐาน ไม่ขายง่ายๆ ถือครองเหนียวแน่น | เป็นฐานค้ำยันราคาไม่ให้ลงลึกเกินไป |
| กลุ่มเก็งกำไร(Speculator) | 1 ใน 3 | พร้อมขายทำกำไรทันทีเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น | ทำให้เกิดแรงขายกดราคาลงมาพักฐาน |
| สรุปกลไก | – | เมื่อราคาขึ้นไป 3 ส่วน จะต้องมีการพักตัวลงมา 1 ส่วน | การลง 33% (1 ส่วน) ถือเป็น “สัญญาณสุขภาพดี” |
| กลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) | จุดเปลี่ยนสำคัญ (The Pivot) | หุ้นเด่น & ไฮไลท์ธุรกิจ (Top Pick & Key Catalyst) |
| 1. กลุ่มอาหาร(Food Innovation) | เปลี่ยนจากขาย “พืชผลเกษตร” สู่การขาย “แบรนด์อาหารแปรรูป” | TWPC (ไทยวา)• เดิม: ขายแค่แป้งมันสำปะหลัง (กำไรน้อย ผันผวน)• ใหม่: ลุยตลาดวุ้นเส้น & ก๋วยเตี๋ยวสำเร็จรูป• จุดเด่น: สร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งออกโต รับเทรนด์อาหารโลก |
| 2. กลุ่มการแพทย์(Medical Tech) | เปลี่ยนจากแค่ “ความงาม/ชะลอวัย” สู่การ “รักษาโรคที่รักษายาก” | MEDEZE (เมดีส กรุ๊ป)• เทคโนโลยี: ธนาคารสเต็มเซลล์ & เซลล์บำบัด• จุดเด่น: ใช้เซลล์ตัวเองรักษาโรค (แพ้ภูมิตัวเอง/กล้ามเนื้ออ่อนแรง)• โอกาส: ผู้นำเทรนด์การแพทย์ยุคใหม่ รับสังคมผู้สูงอายุ |
| 3. กลุ่มท่องเที่ยว(Premium Tourism) | เปลี่ยนจาก “สายการบินทั่วไป” สู่ “เจ้าของสนามบินผูกขาด” | BA (การบินกรุงเทพ)• ป้อมปราการ: เป็นเจ้าของ “สนามบินสมุย” (คู่แข่งเข้ายาก)• จุดเด่น: กินรวบนักท่องเที่ยวเกรดพรีเมียม (กำลังซื้อสูง)• โอกาส: สมุยบูมต่อเนื่อง สวนทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว |
อ้างอิงข้อมูลจาก F1 Money