
การเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่หลังประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาทำให้กระบวนการเจรจามีอุปสรรคมากขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญความผันผวนและตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ออกมาสะท้อนภาพที่น่ากังวล คุณกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ CGS International ได้สัมภาษณ์พิเศษ ซึ่งได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันและแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมในรายการ F1 Money

การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ หยุดชะงักเพราะประเด็นกัมพูชา ทางรัฐบาลไทยทำการเจรจากับสหรัฐฯ ได้ดีมาโดยตลอด แต่มาสะดุดเรื่องกัมพูชา นายกรัฐมนตรีได้ออกมาพูดชัดเจนว่าถ้าต้องไปง้อชาติใดชาติหนึ่งมากเกินไป ก็บอกว่าไปหาตลาดใหม่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในเชิงตัวเลข 1 ใน 5 ของการส่งออกไทยเป็นสหรัฐฯ ซึ่งมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย
ปัจจุบันทางสหรัฐฯ ยังต้องรอดูว่าเรื่องการใช้ภาษีของทรัมป์จะจบอย่างไร เพราะยังไม่มีคำตัดสินที่ชัดเจนว่า ทรัมป์ทำเกินขอบเขตหรือไม่ เรื่องนี้จะเป็น overhang ไปอีกสักระยะ โดยศาลสูงสหรัฐฯ คาดว่าจะมีคำตัดสินในเดือนธันวาคม 2025 หรือมกราคม 2026 สำหรับโอกาสที่ไทยจะต้องกลับไปใช้ภาษี 30 %แบบที่เคยถูกประกาศนั้นคงยากมาก เพราะต้องเป็นแบบจีนที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของอเมริกา
GDP ไตรมาส 3 เผยเศรษฐกิจไทยพึ่งตลาดในประเทศ 106 %
ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ออกมาสะท้อนภาพที่น่าสนใจ โดย Domestic Demand หรือความต้องการในประเทศล่วงไปแล้ว 106 % แปลว่าการบริโภคและการลงทุนในประเทศอย่างเดียวเกินร้อย% ซึ่งต้องมีอย่างอื่นมาถ่วงให้ได้ร้อย%พอดี
การส่งออกและการนำเข้าเมื่อหักกันแล้ว ส่งออกอยู่ที่ 80 % นำเข้าอยู่ที่ 75 % เหลือเพียง 5 % จากนั้นยังต้องหักกับสินค้าคงคลังที่ติดลบ 5 %อีก พูดง่ายคือเศรษฐกิจไทยหลักอยู่ที่ 80 %คือการใช้จ่ายการบริโภค ยังเป็นที่มองว่าถึงแม้เราจะเสียตลาดสหรัฐฯ ไปหรือภาษีเท่าเดิม ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบเยอะ เพราะสุดท้ายมันดุลกันเองระหว่างส่งออกการนำเข้า
สิ่งที่ต้องโฟกัสจริงคือ Domestic Demand การบริโภคเอกชนยังดูดีอยู่ที่ 2 %กว่า แต่ภาครัฐติดลบ 4 % การบริโภครวมเหลือเพียง 1 %กว่า ส่วนท่องเที่ยวในไตรมาส 3 ติดลบ 10 % ซึ่งน่ากลัวมาก
ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ค่อนข้างผันผวนและอ่อนแอ มุมมองของ CGS International คือ SET จะไม่ไปไหน ไม่ขึ้นไม่ลงอยู่ตรงนี้แหละไปจนถึงเลือกตั้งปีหน้า ติดกรอบระหว่างพัน 2 กว่ากับพัน 3 ต้น SET จะติด overhang ไปเรื่อยเรื่อย
เหตุผลหนึ่ง คือ รอบนี้นายกรัฐมนตรีพูดชัดเจนว่าจะเลือกตั้งไตรมาสหนึ่งปีหน้า เรื่องของคะแนนเสียงเรื่องชาตินิยมเป็นฝั่งของนายก ถ้าคิดกันแค่เลือกตั้ง นายกก็จะยอมกัมพูชาไม่ได้เช่นเดียวกัน ทรัมป์ทำกับทุกประเทศ เราขอแค่สู้ให้ได้เท่าเดิมหรือไม่แย่ไปกว่าเดิมถือว่าเสมอตัวถือว่าชนะแล้ว
P/E Ratio ของ SET อยู่ที่ 15 เท่า ถือว่าแฟร์แวลู
P/E Ratio ของ SET Index แบบที่มีเดลต้าอยู่ที่ประมาณ 15 เท่า แต่ถ้าหักเดลต้าออกจะอยู่ที่ 12-13 เท่า P/E 15 เท่าของ SET เป็นแฟร์แวลูของ SET กำลังถูกไม่ถูกอย่างเดียว ไม่ใช่ 9 เท่า 10 เท่าที่จะถูกจริง แต่ใครบอกว่าแพงก็ยังไม่เห็นด้วย มันกลางกลาง
ณ ตอนนี้ EPS ของไทยอยู่ที่ประมาณ 85-88 ไม่ถึง 100 เพราะฉะนั้นถ้าลงมากกว่านี้จะเข้าโซนถูก น่าซื้อไว้หน่อย แต่ถ้าขึ้นไปพัน 3 เข้าไปถือต่อ เพราะตอนนี้ P/E มัน 15 ต่างชาติรู้สึกว่าไทยก็ไม่ได้ถึงกับถูกมาก เพราะฉะนั้นเค้าก็จะไม่ไล่ซื้อในราคาแพงแพง
ท่องเที่ยวถดถอยกระทบเศรษฐกิจ
ท่องเที่ยวในไตรมาส 3 ติดลบ 10 % สิ่งที่ดีในไตรมาส 3 คือ การบริโภคเอกชนและส่งออกสินค้า ส่วนสิ่งที่ไม่ดีคือภาครัฐและท่องเที่ยว ถ้าเป็นนายกก็ต้องโฟกัสที่คนละครึ่งอยู่ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะช่วยได้ที่น้ำหนัก 80 %ที่เป็น Domestic Demand

ถ้าตลาดเป็นแบบนี้ หุ้นที่ปลอดภัยหรือหุ้นที่แข็งในช่วงนี้ก็ยังจะแข็งต่อไป ควรจะต้องมีแบงก์ในพอร์ต และควรมีสื่อสาร เพราะ 2 sector นี้เป็น 2 sector ที่การแข่งขันไม่ได้รุนแรงแล้วเหมือนสมัยก่อน Advance กับทรูตอนนี้ก็เหลือ 2 แบนก์ตอนนี้ก็ไม่ได้แข่งเรื่องสินเชื่อกันแล้ว กลับไปแข่งเรื่องของธุรกิจรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ธุรกิจประกันอะไรต่าง
ทุกคนพยายามรักษากำไร แบนก์ใหญ่ก็หมื่นล้าน ท่าของหุ้นไทยจะไม่เหมือนกับหุ้นนอก หุ้นนอกเล่นโกรท ของไทยมันต้องเน้นเซฟ เพราะทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน GDP เป็นแบบนี้ หุ้นขึ้นไม่ได้ทรุด หุ้นถ้าจะเอาปลอดภัยก็แบนก์กับสื่อสาร แบนก์ก็เอาไป 2 ตัว เป็นแบนก์ใหญ่หนึ่ง แบนก์กลางหนึ่ง
คุณภาพสินทรัพย์ของทั้งแบนก์ใหญ่และแบนก์กลางดีขึ้นเรื่อยเรื่อย แบนก์ใหญ่ดีอยู่แล้ว อาจจะเลือกเป็น KTB หรือ KBANK สำหรับแบนก์ใหญ่ ส่วนแบนก์กลางก็ KKP หรือ TISCO สำหรับสื่อสารถ้าเป็นส่วนตัวจะเลือก ADVANC เพราะทุกอย่างเซฟกว่าปึ้กกว่า
การอ่านสัญญาณจากการซื้อขายของต่างชาติ
ชาร์ต Top 10 Foreign Buy/Sell รายสัปดาห์เป็นสัญญาณที่สำคัญ หุ้นไหนที่ฝรั่งเพิ่มน้ำหนักซื้อ ส่วนใหญ่มันมักจะขึ้นหรือมันลงน้อย ในขณะที่ถ้าฝรั่งขายตัวไหน สัปดาห์นั้นหุ้นจะลงเยอะ
สัปดาห์ที่ผ่านมาฝรั่งซื้อ SPRC งบดี ฝรั่งเข้าหุ้นบวกสวนตลาด บางตัวเช่น MINT KKP ADVANC ขึ้นน้อยกว่าให้เล็งพวกนั้นไว้ ส่วนทางขายเราก็ดูไว้ว่าเค้าขายอะไรมาเยอะในช่วงนี้ ซึ่งเริ่มเห็นฝรั่งเริ่มขายแบนก์แล้ว
กลยุทธ์ คือ ดูว่าฝรั่งซื้ออะไรแล้วดูว่าซื้อเยอะ แล้วตัวไหนผลตอบแทนติดลบเพราะว่าติดลบหมายถึงว่าฝรั่งซื้อแล้วติดดอย ถ้าฝรั่งซื้อแล้วติดลบ แปลว่าเค้ายังขาดทุนอยู่ เราแค่ไปซื้อข้างล่างเผื่อมันจะขึ้น เพราะผู้กองกับฝรั่งส่วนใหญ่ถ้าเป็น net buy หุ้นมักจะขึ้น
Worst case คือ ถ้าไทยโดนแบบที่จีนโดน SET จะมี downside ทันที แต่คิดว่าอาจจะยังไม่ใช่ การเจรจามันก็แน่นอนมันใช้เวลา แต่ละคนก็จะมีปัญหาที่ตัวเองต้องเผชิญอยู่ ทรัมป์ก็ต้องไปดูเรื่องศาลว่ามันจะจบยังไงใช้อำนาจเกินขอบเขตรึเปล่า นายกก็เห็นเรื่องนี้ดี และเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลา
ทรัมป์ก็จะโยนแรงไปก่อน ไทยก็บอกว่าฉันก็มีเรื่องที่ฉันต้องจัดการ มูฟนี้เป็นมูฟที่เยี่ยง แต่ไม่ใช่มูฟจริงของทั้งคู่ สุดท้ายก็ต้องคุยกันอยู่ดี ประนีประนอมสุดท้าย แต่จะลงมาเป็นกี่%ต้องรอดู
ศาลสูงสหรัฐฯ อาจตัดสินเรื่องทรัมป์ก่อนจบการเจรจา
ศาลสูงสหรัฐฯ คาดว่าจะมีคำตัดสินเรื่องอำนาจทรัมป์ในเดือนธันวาคม 2025 หรือมกราคม 2026 ดีไม่ดีเรื่องของศาลสูงของอเมริกาอาจจะจบก่อนซะด้วยซ้ำ ถ้าเรื่องตรงนั้นอาจมีความเห็นออกมาว่าทำไม่ได้นะ ใช้อำนาจเกินขอบเขตก็จบ
อย่างไรก็ตาม ทางสหรัฐฯ มีบอกว่าถึงแม้ว่าคำตัดสินจะไม่เป็นใจ เค้าก็มีกฎหมายมาตรานี้มาตรานั้นในการสู้ ถ้าอย่างนั้นตลาดจะยิ่งปั่นป่วนเพราะว่าเกิดความไม่แน่นอนอีกแล้ว ถ้าตลาดหุ้นโลกลงไทยก็ลงด้วย เพราะมีเดลต้า แต่อาจจะลงน้อยกว่า
การบริโภคเอกชนยังดูดีอยู่ที่ 2 %กว่า แต่ภาครัฐติดลบ 4 % เพราะฉะนั้น GDP ไตรมาส 3 จริงแล้วสิ่งที่ดี คือ การบริโภคเอกชนและส่งออกสินค้า ส่วนสิ่งที่ไม่ดีคือภาครัฐและท่องเที่ยว สิ่งที่ต้องโฟกัสจริงคือ Domestic Demand ซึ่งตอนนี้ซบเซา
ทองคำและ Bitcoin แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตา
ทองคำที่ 4,000 ดอลลาร์ บิทคอยน์ที่แสนเป็นแนวรับที่จิตวิทยามันมีพลัง มันเป็นแนวรับที่เหมือนกับแบบเปลี่ยนหลัก ถ้าทองหลุด 4,000 กลยุทธ์ที่ทำได้น่าสวนซักนาย เพราะมันเป็นการเปลี่ยนหลัก บิทคอยน์หลุด 100,000 มา 90,000 ต้น หลายคนก็กลัว แต่มองว่าทองคำที่ 4,000 บิทคอยน์ที่แสนมันเป็นแนวรับที่มีพลัง
กลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลกับการลงทุนโกลบอล คือ การ volume averaging อะไรลงซื้อเยอะ ยิ่งลงยิ่งซื้อเยอะ อะไรขึ้นเราไม่ไล่ แต่ต้องมั่นใจด้วยว่าบิทคอยน์หลุดแสน 90,000 ตรงนี้น่าจะเป็น false break คือหลุดลงมาแล้วเดี๋ยวมีเด้งสู้กลับไปยืนแสนได้
เหตุผลที่ทองคำน่าสนใจคือการเมืองทะเลาะกันแบบนี้ทั้งโลก ธนาคารกลางซื้อไม่หยุดมันมีเหตุผลซัพพอร์ต ส่วน Bitcoin มีเรื่องของถ้าสมมุติว่าเฟดต้องกระตุ้นอีกครั้งแล้วพิมพ์เงินอีกครั้ง บิทคอยน์จะยิ่งขึ้น เพราะมี 21 ล้านเหรียญเท่านั้น
หุ้นไทยเป็นตลาด Trading มากกว่าในมุมมองของนักลงทุนสถาบัน เพราะเป็น politics เป็นหลัก growth น้อย การมูฟอะไรต่างมันต้องเร็ว เป็นตลาด trading มากกว่า ชาร์ต Foreign Buy/Sell ทำมาให้ดูเป็นรายสัปดาห์เพราะว่าเล่นเป็นรอบ
ถ้ามันเป็นแบบนี้การเป็นแม็คโครได้เปรียบ เพราะด้วยการที่มันไม่แน่นอนแบบนี้ก็ต้องกระจาย ถ้าไม่ได้กระจายไปต่างประเทศเลยแล้วอยู่แต่หุ้นไทยมา 3 ปีแพ้ยับเยิน ถ้าไม่มั่นใจไม่จำเป็นต้อง expose กับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ซื้อเป็นตลาดก็ได้ ซื้อเป็นกองหุ้นไทย ตอนนี้หย่อนภาษี ไทยอีเอสจีซื้อได้
อีกก้อนหนึ่งก็ซื้อตลาดสหรัฐฯ หรือ S&P 500 ก็ได้ ถ้าวันหนึ่งตลาดหุ้น S&P 500 ลงเยอะ เทคลงเยอะ เดลต้าประเทศไทยก็ลง แล้วถ้าเดลต้าทาลง SET มันจะลงได้อีก เป็นร้อยจุด มันลงเราก็จะไม่มีแนวมันแวลูเอชั่นมันเป็นเรื่องของสิ่งที่ตลาดให้อยู่แล้ว แน่นอนถูก แต่ถูกแล้วก็มีถูกอีก
ถ้า S&P 500 โดนขายหุ้นไทยไม่มีแรงซื้อเข้ามา เดลต้ายังไงก็พาลงอยู่แล้ว เซตอาจจะลงได้น้อยกว่า แต่อย่าลืมลงน้อยกว่าแล้วถ้าต้องเลือกซื้อ ณ วันไหนที่มันกลับมาขึ้น SET จะขึ้นได้แรงกว่าเหรอ หุ้นไทยเหมาะกับการจ่ายปันผลหรือเทรดดิ้งเป็นรอบ
อนาคตหุ้นไทยต้องปรับ Policy
หุ้นไทยจะอยู่ในเวทีโลกได้ต้องแก้ที่ Policy ง่ายที่สุด ทางเดียวที่เราจะดึงเสน่ห์ของหุ้นไทยให้มันกลับมามากกว่านี้ได้ คือ เรื่องของ Policy เพราะว่าถ้าเทคไม่ได้ก็ต้อง Policy ข้อเสนอเช่น ปันผลรายไตรมาสทำได้ไหม ปันทุกเดือนแบบ ETF สหรัฐฯ ทำได้ไหม ถ้าทำได้มันก็ไม่ได้ถูก ถ้ายีลด์ 7 % แบ่งจ่ายจ่าย 2 ครั้งก็จ่ายทุกเดือนมันก็ 7 %เท่ากัน
การปลดล็อก ROE ก็ซื้อหุ้นคืนมามากกว่านี้ได้รึเปล่า หุ้นแบนก์ประกาศซื้อหุ้นคืน หุ้นก็ตอบรับเชิงบวก มันต้องเป็นเชิงแบบนี้ Policy เพราะว่าถ้าแก้ที่ S-Curve พูดกันหลายปีแล้ว ปีหน้าก็เช่นกันว่าทุกคนมีหวังกับไทยอีกครั้งเหมือนกับทุกปี รู้สึกว่าปีนี้เป็นหุ้นไทยปีทองของหุ้นไทย มันเป็น low hanging fruit ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าทีละสเต็ป

ใครที่เล่นหุ้นนอกจะรู้ว่าหุ้นนอกปันผลจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส ส่วนหุ้นไทยส่วนใหญ่จะจ่ายปีละ 2 ครั้ง แต่ภาษีที่เราโดนกับภาษีเรื่องปันผลของไทยเราโดนไม่เยอะเท่าของสหรัฐ เพราะฉะนั้นเวลาใครที่ลงทุนหุ้นปันผลหรือชอบลงทุนแบบกินปันผล อยู่หุ้นไทยก็ได้ ไม่ต้องไปหุ้นนอก เพราะถ้าไปนอกเค้าไปเอาเติบโตอย่างเดียวไปเอาโกรท
สำหรับหุ้นส่งออกหรือนิคมอุตสาหกรรม ถ้าไม่แน่จริงหรือว่าไม่เทรดดิ้งดู Stop loss ไม่เฝ้าจอเลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่า เพราะมันสามารถออกได้ทุกหน้า มันอาจจะออกหน้าที่เป็นใจกับทางการค้าโลกก็ได้ว่าไม่มีแล้วภาษี พรุ่งนี้วิ่งเลย แต่ไม่มีใครรู้ ถ้าอยากจะมีไว้ดับบลิวเอชเอจะดีกว่าอมตะ ด้วย Valueation ที่อาจจะถูกกว่านิดหนึ่ง และดับบลิวเอชเอเป็นนิคมที่เน้นในประเทศเยอะเหมือนธรรมะ ส่วนอมตะจะมีเวียดนามตรงนั้นหน่อย ถ้าเป็นส่วนตัวจะเลือกตัวใหญ่สุดของเซกเตอร์ที่ถ้า flow เข้าคือ WHA
เปรียบเทียบหุ้นไทยกับหุ้นต่างประเทศ
P/E ของ S&P 500 อยู่ที่ประมาณ 20-23 เท่า ในขณะที่หุ้นไทยอยู่ที่ 15 เท่า หุ้นต่างประเทศเทรดที่ระดับนั้นได้เพราะมีเรื่องของ growth ในขณะที่ 7 ตัวบนสุดของ S&P 500 กับ 7 ตัวบนของไทยคนละเรื่อง ของเค้าเป็น AI Robotics ของเรายังเป็นพลังงาน การบริโภค เพราะฉะนั้นมันไม่มีเหตุผลในการที่ว่าทำไม P/E เกิน 15 ต้องมี SET Index
คำถามว่านี่เป็นฟองสบู่หรือไม่ คำตอบ คือ ไม่มีใครสามารถเดาฟองสบู่ได้ เพราะฟองสบู่มันต้องราคาสูงซึ่งตอนนี้ราคาสูงแล้ว แต่รอบนี้มันมีกำไรที่มาซัพพอร์ต บางคนบอกไม่ใช่ฟองสบู่ บางคนบอกใช่ บางคนบอกมันต้องใช่เพราะว่ากำไรที่คุณลอยขึ้นมาเพราะคุณใช้กันเองบริษัทเทคยักษ์ใหญ่มันหมุนกันเองหมุนเงินกันเอง ดีเบตกันไปเรื่อยเรื่อย มันก็เป็นเสน่ห์ของตลาดทุน มันต้องมีคนที่คิดไม่เหมือนกัน
ทางที่ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนหรือผู้ฟังรายย่อยที่ไม่ได้อ่านลึกขนาดนั้นไม่ได้รู้อะไรขนาดนั้นคือซื้อเป็นกองทุน 500 ตัวคือ S&P 500 ไปเลย อย่าซื้อหุ้น Nvidia Google หรืออะไรต่างที่เรารู้สึกว่าทำการบ้านไม่ดีพอ เพราะถ้าซื้อหุ้นตรงมันเสี่ยงกว่า มี 500 ตัวไปก็ได้และใช้หลักการ volume averaging
สรุป Stay Invest และ Stay Diversify
ต้องอยู่กับมันและต้องจัดพอร์ตอยู่ดี Stay invest และ stay diversify ยังสำคัญอยู่ การที่มันลงพร้อมกันมีเหตุผล มัน คือ ดอลลาร์ เพราะดอลลาร์มันแข็งมันเลยอ่อนหมดทุกอย่าง อ่อนก็ คือ ลง ดอลลาร์ตั้งแต่ต้นปีมันก็อ่อนค่ามาโดยตลอด พอมาเจอเรื่องความไม่แน่นอนความมีความไม่ชัดเจนแบบนี้ เงินมันก็ไหลกลับเข้าดอลลาร์ ขายหุ้นสหรัฐ ขายบิทคอยน์ ขายทองคำลงมา
ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนว่า เราดีแล้วที่เรา stay diversify เรื่องของไทยกัมพูชาและการเจรจาการค้าคงจะไม่ได้เป็นเหตุผลหลักอะไรให้ปรับพอร์ตต้องไปดูแม็คโคร เรื่องของดอกเบี้ย เรื่องของเงินดอลลาร์มากกว่า อาจจะเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่า Geopolitics ทั้งหมดไม่หายไปอยู่แล้ว และเราก็เดามันยากด้วย
สิ่งที่เราเดาได้ก็ คือ flow และดูเรื่องของความถูกแพงแล้วกลยุทธ์ของเราในการลงทุน ถ้าใครเป็นสไตล์แม็คโครหรือดูภาพใหญ่ การเป็นแม็คโครได้เปรียบเพราะด้วยการที่มันไม่แน่นอนแบบนี้ก็ต้องกระจาย ถ้าไม่ได้กระจายไปต่างประเทศเลยแล้วอยู่แต่หุ้นไทยมา 3 ปีแพ้ยับเยิน
ปีหน้าหวังว่าจะเป็นปีที่ดีบ้าง ลงมา 3 ปีแล้วหุ้นไทย ปีหน้าขอเป็นปีดีบ้างก็แล้วกัน การลงทุนที่ดีเริ่มต้นจากข้อมูลที่ใช่ และการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร นักลงทุนที่มีวินัยและกลยุทธ์ที่ชัดเจนย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว
อ้างอิง F1 Money