
งบการเงิน NVIDIA กระตุ้นบรรยากาศ Risk-On การประกาศงบการเงินของ NVIDIA ในครั้งนี้ถือเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาสดใสอีกครั้ง คุณกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ได้บอกในรายการ F1 Money ว่า ในระยะสั้น ผลงานที่ออกมาดีของ NVIDIA เป็นการกระตุกภาวะ Risk-On ให้กลับมา ทำให้ความกังวลเรื่อง AI Bubble ลดลงไปในระยะสั้น

NVIDIA ถือเป็น “ของจริง” ที่สะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างการเปลี่ยนแปลงด้าน AI Transformation ที่คาดการณ์ว่าจะเร่งตัวขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้านั้นกำลังดำเนินไปตามแผน การที่ earning ออกมาดี guidance ดี และมี hints ว่าคำสั่งซื้อล่วงหน้าเต็ม capacity แล้ว แสดงให้เห็นว่า ภาพของออเดอร์มีความแข็งแกร่งต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าในส่วนของการลงทุนกับโครงสร้างอุตสาหกรรมนั้นอาจต้องแยกดูต่างหาก เพราะแม้ว่าภาพของการนำ AI มา Transform ธุรกิจในภาคการผลิตกำลังเกิดขึ้นอย่างเร่งรัด แต่การเติบโตจะต่อเนื่องมั่นคงและเป็นไปตามความคาดหวังของตลาดหรือไม่นั้น ยังต้องรอระยะเวลาพิสูจน์ โดยต้องดูว่าโครงสร้าง Supply Chain ครบลูปและออเดอร์การสั่งซื้อต่อเนื่องระยะยาวหรือไม่
คุณกรภัทรชี้ให้เห็นว่าเอเชียและไทยเป็นจุดหมายสำคัญของไฮเปอร์สเกลเลอร์รายใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Alphabet หรือ Microsoft ที่วางแผนจะมาลงทุนค่อนข้างมาก ซึ่งการลงทุนเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อกลุ่ม Infra-Tech ที่ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่ม ICT โรงไฟฟ้า หุ้น Semiconductor และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการขยายตัวที่จะเร่งเติบโตในช่วง 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า
ไทยมีจุดได้เปรียบสำคัญ คือ มีไฟฟ้าเพียงพอที่จะขยายได้ ขณะที่สิงคโปร์เริ่มจำกัด และมาเลเซียที่เบ่งบานใน 2 ปีที่ผ่านมาก็เริ่มมีปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอในการขยายเพิ่มเติม ทำให้ปัจจุบันการแข่งขันอยู่ที่เวียดนามกับไทยเป็นหลัก
รัฐบาลไทยเองก็เห็นว่า BOI มีการขออนุมัติมาตั้งมาก แต่การลงทุนจริงยังไม่ค่อยเกิด จึงพยายาม Deregulation แก้ปัญหาอุปสรรคเรื่องกฎหมายต่างๆ และพยายามดันให้เกิดในช่วงปลายปีและต้นปีหน้า ก่อนที่จะเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง หากแก้ได้เร็ว จะเป็นโอกาสสำคัญในการวางโครงสร้างระยะกลางถึงยาวในแง่การลงทุน
การที่มี Investment Plan เกิดขึ้นจะเป็นภาระผูกพันในการต้อง Invest ต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปี เพราะโดยปกติแล้ว Data Center สร้างกันประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นอุตสาหกรรมต่อยอดจะเข้ามา ถ้ามี Infra ที่รองรับมากเพียงพอ อุตสาหกรรมที่เป็น New S-Curve ที่เราต้องการทำก็จะมีโอกาสเร่งตัวขึ้น

ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาพยายามประคองฐานได้ที่แถว 1,260 จุด แม้จะมีการประกาศงบที่ดี แต่ตลาดรวมยังลงมาเรื่อยเรื่อย อย่างไรก็ตาม ในearning evaluationนั้นปรับขึ้นหรือทรงตัวได้สำหรับปีนี้และปี 2026 ทำให้ตลาดสามารถประคองฐานได้
คุณกรภัทร เน้นย้ำว่า หากตลาดหุ้นไทยจะขึ้นได้ต้องผ่าน 1,325 จุดซึ่งเป็นเส้น 200 month ถ้าผ่านได้ตรงนั้น มันจะเป็นโมเมนตัมที่ทำให้โวลุ่มและสภาพคล่องเริ่มขยับขึ้นมา และ Upside บนตลาดจะเปิดขึ้นไปแถว 1,400-1,450 จุดได้ หลังจากที่ระยะสั้นดูเหมือนจะประคองฐานที่ 1,260 ได้แล้วและเริ่มดีดกลับขึ้นมา
สำหรับเป้าหมายดัชนีของเขายังคงวางไว้ที่ 1,370 จุด โดยมองว่าอย่างน้อยสิ้นปีนี้ควรจะเหนือ 1,300 จุดเป็นอย่างน้อย เพราะเบสเคสตลาดหุ้นไทยอยู่ในกรอบ 1,350-1,370 จุด
นโยบายการเงินเฟด แนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อในธันวาคม 2025
คุณกรภัทร วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังมีการเติบโตที่แอบดีกว่าที่ตลาดคาดหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการบริโภคและ Service Sector ที่ได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ยังประคองตัวในระดับสูง เนื่องจาก 67-10% ของการบริโภคในสหรัฐเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เฟดกังวล คือ ภาวะตลาดแรงงานที่เริ่มชะลอลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึง ความตึงในเรื่องของ Private Credit และสภาพคล่อง ซึ่งสะท้อนออกมาจาก High Yield Credit Spread ที่พุ่งขึ้นมา 2.80% ในช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้า และวันนี้ก็ดีดขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง
รอบก่อนที่เฟดลดดอกเบี้ยเกิดจาก 2 เหตุผลสำคัญ คือยอมรับเงินเฟ้อสูงได้ระดับหนึ่ง แต่กังวลในเรื่องตลาดแรงงานและ Financial Condition ที่ตึงขึ้น สำหรับการประชุมเฟดรอบนี้ การพิจารณาลดดอกเบี้ยมีหลาย Factor ที่ต้องประเมินล่วงหน้า เพราะตัวเลขเดือน 10 และ 11 จะออกมาหลังการประชุม
เขา มองว่า หากดูภาพปัจจุบัน ตลาดแรงงานไม่มีทางแข็งแรงขึ้น ควรจะเห็นการชะลอตัวลงมากกว่า ประกอบกับประเด็นความตึงด้านเครดิตที่มีการพูดถึงเรื่อยเรื่อย และ High Yield Credit Spread ที่ดีดขึ้นมาสูงกว่า 2.80% อีกรอบหนึ่ง ทำให้เฟดอาจจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อในรอบเดือนธันวาคมมากกว่าที่จะแตะเบรก
ช่วงที่ผ่านมามี 2 เรื่องที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ไปต่อ เรื่องแรก คือ นโยบายการเงินเราคงรอบล่าสุด ซึ่งแทนที่จะเป็น Catalyst กลับทำให้แค่ทรงตัวหรือพักฐานลงมา และเรื่องที่สองคือ การลดดอกเบี้ยของเฟดรอบนี้ที่เกิดขึ้นในเดือนก่อนหน้าไม่ได้เป็น Dovish มากนัก โดยออกมาในโทนที่ปรามความคาดหวังของตลาด
คุณกรภัทร ระบุชัดเจนว่า สิ่งที่จะทำให้ตลาดเบรก 1,325 จุดได้ ก็คือ ดอกเบี้ยนโยบายของบ้านเราถ้าลดตลาดจะขึ้น หรือเฟดเองลดด้วย ซึ่งเป็นเซ็นติเมนต์สำคัญกว่าดอกเบี้ยภายในด้วย หากเฟดลดด้วยและดอกเบี้ยไทยลดด้วย เขามองว่าตลาดจะ “พุ่ง”
สำหรับต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาในตลาดพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วจนถึงสัปดาห์นี้เทรนด์โดยรวมหนักไปทางฝั่งซื้อ โดยเดือนพฤศจิกายน Month-to-Date ต่างชาติซื้อพันธบัตรไทยไปแล้ว 13,000 ล้านบาท สะท้อนว่ามุมมองของ Offshore ตอนนี้เริ่มกลับมาคาดหวังว่าบ้านเราต้องลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
GDP Q3 ไทยโต 1.2% ต่ำกว่าคาด
GDP ไตรมาส 3 ออกมาที่ 1.2% ซึ่งดีกว่ามุมมองก่อนหน้าที่คาดว่าอาจจะโตแค่ 0.8-0.9% ในช่วงที่มีปัญหาการเมืองในไตรมาส 3 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่ามุมมองล่าสุดที่คาดไว้ที่ 1.5-1.6% เมื่อเห็นตัวเลขส่งออกที่ดีดขึ้นมาเป็น Front-load Order อย่างต่อเนื่อง
สาเหตุที่ตัวเลข GDP ไม่ถึงเป้าเกิดจาก Domestic Demand ชะลอลง เนื่องจากเรื่องของงบประมาณเบิกจ่ายต่างๆ อาจจะทำได้ไม่เต็มที่ในช่วงไตรมาส 3 อย่างไรก็ตาม เขามองว่าหาก Transition เร็วในไตรมาส 4 เข้ามาขับเคลื่อนได้เร็วและทำได้ดี ควรจะเป็นจุดที่ทำให้แรงกระเพื่อมแรกช่วยกระตุ้นและประคอง Growth ให้ดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง
การลงทุนจาก FDI ที่จะเข้ามารอบนี้จะส่งผลโดยตรงต่อกลุ่ม Infra-Tech ซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการขยายตัวที่จะเร่งเติบโตในช่วง 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า โดยครอบคลุมกลุ่ม ICT, โรงไฟฟ้า, หุ้น Semiconductor ในบ้านเรา และนิคมอุตสาหกรรม
สาเหตุที่กลุ่มนี้มีโอกาสเป็นเพราะ Data Center Boom ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งสหรัฐเองก็เริ่มมีปัญหาไฟฟ้าไม่พอ ทำให้ต้องมีการปรับแก้ระยะสั้น ทั้งการเอา Bitcoin Mining มา Restructure เป็น Data Center หรือไปดูเรื่อง Grid เพื่อแก้ปัญหาในระยะกลางถึงยาว 10-15 ปี
สำหรับนักลงทุนที่เป็นนักลงทุนระยะยาว กลุ่ม Infra-Tech นี้ ถือเป็นคอร์พอร์ตที่ควรสะสมระยะกลางระยะยาว เพราะเป็นเมกะเทรนด์ที่มีความชัดเจนและมีทั้ง Demand และ Supply ที่พร้อมรองรับ
ปิโตรเคมี-โรงกลั่นจ่อเทิร์นอะราวด์ปี 2026
อุตสาหกรรมที่จะเป็นเทิร์นอะราวด์ในปีหน้า คือ กลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี คุณกรภัทรระบุว่าจะเห็นกลุ่มนี้ค่อยค่อยยกฐานขึ้นมาเรื่อยเรื่อย แม้ Earning ยังไม่ได้ฟื้นตัวแข็งแรงมาก โดยปัจจุบันยังเป็นลดลงปีต่อปีและอาจจะขาดทุนเป็นรายบริษัทไป แต่ปีหน้าส่วนใหญ่จะเทิร์นขึ้น
เหตุผลที่จะเทิร์นอะราวด์เป็นเพราะไซเคิลของ Free Stock ที่ต่ำกำลังจะสร้างผลบวกในแง่ของ Demand และโครงสร้าง Supply กำลังเกิดการควบรวมอุตสาหกรรมกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีการยกระดับศักยภาพการผลิตด้วย ทำให้ภาพรวมกลางยาวจะเห็น Supply ลดลงหรือ Growth ไม่แรงมากเหมือน 3-4 ปีก่อนหน้าที่ Supply เร่ง 4-5% โดยเฉลี่ย
หุ้นที่แนะนำในกลุ่มนี้ รวมถึง ไทยออยล์, SPRC และกลุ่มปิโตรเคมีอย่าง PTTGC หรืออื่นๆ ซึ่งสามารถลงทุนในไซเคิลปีครึ่งได้ เพราะอุตสาหกรรมนี้กำลังจะพลิกกลับขึ้นมา
ท่องเที่ยว-โรงพยาบาล Value Play กลางยาว
หลาย Sector ที่เคยโดดเด่นอย่างกลุ่มโรงพยาบาลและท่องเที่ยว ตอนนี้มี Valuation ที่ดีพอดีมากแล้ว และเริ่มมี Catalyst เข้ามาด้วย โดยเฉพาะเรื่องการ Re-route การท่องเที่ยวของคนจีนที่ไปญี่ปุ่นมาบ้านเราเพิ่มขึ้น

หากรัฐบาลสามารถประคองตัวไปได้จนถึงมกราคมแล้วค่อยยุบสภา จะเป็นอีกเวฟหนึ่งที่ตลาดจะมองต่อไปถึงการเลือกตั้ง ซึ่งภาพ Election Rally อาจจะเกิดขึ้น โดยการเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุดก่อนปี 2562 หุ้นไทยขึ้น 10-15% เลยก่อนการเลือกตั้ง
เหตุผลที่เกิด Election Rally เป็นเพราะกระบวนการได้มาซึ่งรัฐมนตรีและบริหารประเทศเกิดจากกระบวนการรัฐสภา ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า Policy จะเป็นอย่างไร ตลาดชอบแนวทางที่คาดการณ์ได้มากกว่าที่คาดการณ์ไม่ได้
รอบการเลือกตั้งที่ผ่านมา 2 ครั้งหลังสุดมีทั้งขึ้นและลงหลังการเลือกตั้ง แต่ก่อนเลือกตั้งไม่มี Election Rally ทั้ง 2 ครั้ง ทำให้รอบนี้อาจจะกลับไปเหมือนรอบก่อนๆ ที่มีโอกาสเห็น Election Rally ได้ อย่างไรก็ตามยังไม่ควรมองไกลมาก เพราะต้องรอดูว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินการไปจนจบเทอมได้หรือไม่ เนื่องจากประเด็นการเมืองเป็น Uncertainty ที่อาจทำให้เซ็นติเมนต์หรือการลงทุนสะดุดได้
คุณกรภัทร มองว่ามาตรการคนละครึ่ง พลัส ค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยเห็นบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของคนที่เร่งตัวขึ้น และแพลตฟอร์มเป๋าตังสามารถเช็กตัวเลขได้ Real-time ด้วยว่าตอนนี้ใช้เงินไปแล้วเท่าไร ซึ่งทำให้นโยบายไปตรงจุดและเห็นแรงกระเพื่อม
มาตรการนี้ ถือเป็นแรงกระตุ้นแบบประคอง Growth ให้ดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในด้านการบริโภคที่ได้รับอานิสงส์โดยตรง ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น
Thailand Individual Savings Account (TISA)
สิ่งที่จะสำคัญกว่านั้น คือ โจทย์ที่กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่ คือ เรื่อง Thailand Individual Savings Account หรือ TISA ที่จะวางแผนการออมของเราแบบบูรณาการ ต้องติดตามว่าในโครงสร้างที่จะบูรณาการและยั่งยืนระยะยาวนั้นจะมีสัดส่วนให้เน้นหุ้นไทยหรือสินทรัพย์ในประเทศไทยมากขนาดไหน
หากมีสัดส่วนให้การออมภายในประเทศเยอะ จะเป็นภาพที่เราจะเห็นตัว Long-term Fund ของบ้านเรากลับมาแข็งแรงขึ้น แต่ถ้าไม่เยอะและมีสัดส่วนให้กระจายไปข้างนอกมากก็จะเป็น Outflow และตลาดหุ้นไทยก็จะเหนื่อยขึ้น
โครงสร้างของการลงทุนในตลาดหุ้น Drive ด้วย 2 สิ่ง คือ เศรษฐกิจและ Domestic Long-term Fund ในประเทศ เพราะตลาดแต่ละตลาดถูก Drive ด้วยนักลงทุนภายในประเทศ ถ้าโครงสร้าง Long-term Fund ประเทศไหนแข็งแรง หุ้นก็จะขึ้นไปเรื่อยเรื่อย ยกตัวอย่างญี่ปุ่นที่เริ่ม NISA และปรับแก้ปัญหาเงินฝืดในปี 2012 ทำให้หุ้นขึ้นมาเรื่อยเรื่อย โดย Inflow จริงๆ ที่เข้าตลาดหุ้นญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นในปี 2024-2025
ไทยเคยมี LTF ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปี 2018 เป็นแนวโน้มขาขึ้นมาโดยตลอด แม้จะเจอวิกฤต แต่ Trend หลักคือขึ้น อย่างไรก็ตาม พอสภาพคล่องลดลง เศรษฐกิจไทยเองใน 10 กว่าปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ย 2% ก็ยังทำไม่ได้ ถ้า TISA ออกแบบได้ดีจะช่วยปลุกโครงสร้างทุนภายในให้แข็งแรงได้เหมือนญี่ปุ่นหรือจีนที่กำลังพยายามทำอยู่
นักลงทุนต่างชาติเริ่มหันกลับเข้ามาซื้อพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วจนถึงสัปดาห์นี้ โดยขณะนี้ต่างชาติซื้อสุทธิ 13,000 ล้านบาทแล้ว
สะท้อนชัดเจนว่า มุมมองของ Offshore ตอนนี้เริ่มกลับมาคาดหวังหรือคาดการณ์ว่า ไทยจะต้องลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม จริงๆ แล้วเขามองว่า ดอกเบี้ยไทยจะลงเรื่อยเรื่อย โดย Bond Yield 10 ปีของไทยเคยลงไปถึง 1.3% เลย ซึ่งถือว่าต่ำเกินไป ก่อนจะดีดกลับมา 1.8% หลังจากการตรึงดอกเบี้ย
สถาบันและรายย่อย Rotation แบบเลือกซื้อ
สำหรับตลาดหุ้น นักลงทุนต่างชาติมีการเข้าซื้อบ้างเป็นรายวัน แต่ยังไม่ต่อเนื่อง แสดงว่า เป็นการเข้าบ้างออกบ้าง เป็นการ Selective ไม่ได้เป็นการซื้อแบบ Broad-based ในตลาดหุ้นไทย เป็นการซื้อแบบเลือกรายตัวเลือกซีเล็กท์ และเป็นลักษณะการ Rotation ไปมา
หุ้นสถาบันเองก็คล้ายคลึงกัน ยังเป็นลักษณะ Rotation เป็นรายกลุ่มรายธีมไป ด้วยความที่เม็ดเงินในฝั่ง Consumption ยังจำกัดอยู่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ถือเป็นโค้งท้ายปีแล้ว เรื่อง Tax-loss Harvesting ที่ขายเพื่อหย่อนภาษีอาจจะทำให้เงินสภาพคล่องเข้ามาในฝั่งสถาบันในประเทศเพิ่มมากขึ้น สรุปแล้วยังไม่มี Broad-based Rally ยังเป็นการเลือกลงทุนเฉพาะกลุ่มและหมุนเวียนไปในแต่ละธีม
Tech Sector ยังนำตลาดโลกใน 3-5 ปีข้างหน้า
คุณกรภัทร ยืนยันว่า Tech Sector ยังเป็นตัวนำในแง่ของเทรนด์ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าอยู่ เพียงแต่ว่ามันจะเกิด Big Correction ขึ้นมาหรือไม่นั้นค่อนข้างท้าทาย ทั้งกับผู้กำหนดนโยบายการคลังและนโยบายการเงินของสหรัฐและประเทศอื่นด้วย
ในมุมมอง Fundamental เขาไม่ได้กังวล แต่ในส่วนของการลงทุนหรือการเก็งกำไรต้องแยกเป็นรายตลาดว่า Valuation เป็นอย่างไร และนโยบายการเงินนโยบายการคลัง Support ตลาดหุ้นหรือไม่ ภาพใหญ่ยังคงเห็น Tech Sector เป็นตัวนำ แม้อาจมี Correction ระยะสั้น

จากการวิเคราะห์ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต นักลงทุนไทยควรปรับมุมมองการลงทุนให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่กำลังเปลี่ยนแปลง การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยมิได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยเดียว แต่เป็นผลมาจากการประสานกันของหลายมิติ ทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางไทยและสหรัฐฯ การดำเนินนโยบายการคลังที่มีประสิทธิภาพ และความสามารถในการดึงดูด FDI ผ่านกลไก BOI Fast-pass
การที่ดัชนี SET จะสามารถทะลุแนวต้าน 1,325 จุด ได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญ โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยนโยบายของไทยควบคู่ไปกับการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม หากปัจจัยทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกัน จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเปิดโอกาสสู่ระดับ 1,400-1,450 จุด ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในระยะกลางถึงระยะยาว กลุ่ม Infra-Tech ถือเป็นคอร์พอร์ตที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจาก Data Center Boom และการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า ICT หรือนิคมอุตสาหกรรม ล้วนมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นที่ผ่านพ้นช่วงขาดทุนมาหลายไตรมาส กำลังเข้าสู่จุดเทิร์นอะราวด์ในปี 2026 จากโครงสร้าง Supply-Demand ที่เริ่มสมดุลขึ้น
กลุ่มท่องเที่ยวและโรงพยาบาลที่มี Valuation ปรับลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ กำลังมี Catalyst จากการ Re-route นักท่องเที่ยวจีนที่อาจเดินทางมาไทยมากขึ้นแทนญี่ปุ่น ทำให้กลุ่มนี้กลายเป็น Value Play ที่น่าจับตามองในระยะกลาง
ประเด็นการเมืองภายในประเทศแม้จะสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น แต่หากรัฐบาลสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงการเลือกตั้ง อาจเกิด Election Rally ตามประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยดัชนี SET เคยปรับตัวขึ้น 10-15% ก่อนการเลือกตั้งในรอบก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและไม่ควรคาดหวังมากเกินไป
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังคงพยุงเศรษฐกิจไทยได้
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง คนละครึ่ง พลัส แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการกระตุ้นการบริโภคได้ในระยะสั้น โดยการใช้แพลตฟอร์มเป๋าตังที่สามารถติดตามข้อมูลแบบ Real-time ทำให้นโยบายมีความแม่นยำและไปถึงกลุ่มเป้าหมาย สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีความพยายามในการพยุงเศรษฐกิจแม้จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ
โครงการ Thailand Individual Savings Account หรือ TISA ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสภาพคล่องระยะยาวให้กับตลาดหุ้นไทย หากออกแบบโครงสร้างได้ดีและให้น้ำหนักกับสินทรัพย์ภายในประเทศมากเพียงพอ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Long-term Fund ในประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตของตลาดหุ้นในระยะยาว ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นที่มีระบบ NISA หรือไทยในอดีตที่มี LTF
การไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทยที่มีมูลค่าสูงถึง 13,000 ล้านบาท ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่คาดการณ์ว่าไทยจะต้องลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม กระแสเงินในตลาดหุ้นยังเป็นลักษณะ Selective และ Rotation ไปตามแต่ละกลุ่มธุรกิจ ยังไม่เกิด Broad-based Rally ที่นักลงทุนคาดหวัง
แบ่งพอร์ตเป็นสัดส่วน คือ กลยุทธ์ลงทุนที่เหมาะสม
กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสภาวะปัจจุบัน ควรแบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน โดยมีคอร์พอร์ตระยะยาวในกลุ่ม Infra-Tech ที่มีเมกะเทรนด์รองรับ ควบคู่ไปกับการจัดสรรส่วนหนึ่งในกลุ่มที่จะเทิร์นอะราวด์อย่างปิโตรเคมีและโรงกลั่นสำหรับระยะปีครึ่ง และเก็บสัดส่วนเล็กน้อยไว้สำหรับการเทรดระยะสั้นตามโอกาสที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา
นักลงทุนควรติดตามตัวชี้วัดสำคัญอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและเฟด ความคืบหน้าของ BOI Fast-pass การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในไตรมาส 4 และพัฒนาการทางการเมือง ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นถึงกลาง
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่โอกาสในการสร้างผลตอบแทนยังคงมีอยู่สำหรับนักลงทุนที่เข้าใจพื้นฐานและสามารถปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ การลงทุนที่ประสบความสำเร็จมิได้เกิดจากการคาดเดาตลาด แต่เกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ การกระจายความเสี่ยง และการมีวินัยในการลงทุนตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น การวางกลยุทธ์การลงทุนที่มีทั้งคอร์พอร์ตระยะยาวและความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตตามสถานการณ์ จะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลงทุนท่ามกลางความผันผวนของตลาด
อ้างอิงจาก F1 Money