
เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่องศา ผลที่ตามมากลับรุนแรงเกินคาด น้ำท่วม ดินถล่ม คลื่นความร้อน และไฟป่ากำลังลบล้างความก้าวหน้าทางการพัฒนาที่มนุษยชาติสั่งสมมาหลายทศวรรษให้หายไปในชั่วข้ามคืน
อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ เปิดเผยผลการศึกษาของ สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (UNDRR – United Nations Office for Disaster Risk Reduction) โดยระบุว่า “ต้นทุนจากภัยพิบัติ” ที่มีมูลค่ามหาศาลนี้ เกิดจากภัยธรรมชาติรุนแรงเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วมใหญ่ พายุหมุนรุนแรง ภัยแล้งยืดเยื้อ แผ่นดินไหว หรือไฟป่า ภัยเหล่านี้ไม่เพียงทำลายทรัพย์สินและเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น แต่ยังทำลายโครงสร้างสังคม ชีวิตผู้คน และทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่อาจประเมินค่าได้อีกด้วย
ดังนั้น UNDRR จึงชี้ว่า แทนที่โลกจะทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลไปกับการฟื้นฟูความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ ซึ่งมักเกิดซ้ำซ้อนโดยไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ –โลกควรเปลี่ยนแนวทางมาสู่ “การลงทุนเชิงป้องกัน” เพื่อสร้าง ความยืดหยุ่น (Resilience) และระบบรับมือภัยพิบัติที่ยั่งยืนในระยะยาวแทน
นอกจากนี้ การลงทุนเชิงป้องกันยังไม่เพียงช่วยลดความเสียหาย แต่ยังสามารถ สร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเชิงบวก ได้พร้อมกัน
เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และการเสริมศักยภาพให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการป้องกันภัย กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ
“ทุกดอลลาร์ที่ใช้เพื่อป้องกันภัยพิบัติ คือดอลลาร์ที่ช่วยโลกไม่ต้องสูญเสียซ้ำในอนาคต” และนั่นคือ หัวใจของแนวคิด “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Sustainable Development) ที่แท้จริง “งบที่แก้” แพงกว่า “งบที่ป้องกัน”
ในความเป็นจริง โลกกำลังสูญเสียเงินไปกับภัยพิบัติถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี (82.8 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากพอจะเปลี่ยนโลกให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ได้ทั้งใบ — หากเราเลือกลงทุนอย่างถูกทาง
จากข้อมูล UNDRR พบว่า เพียงเศษเสี้ยวของงบประมาณที่โลกใช้ไปกับการฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้อย่างมหาศาล
เริ่มจากเพียง 420,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ราว 14.7 ล้านล้านบาท) ก็สามารถจัดให้ทุกประเทศยากจน ทำให้มี “การศึกษาคุณภาพ” (Quality Education) ได้ทั่วถึง
ขณะที่ 370,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (12.95 ล้านล้านบาท) จะเพียงพอในการยกระดับ “สาธารณสุขขั้นพื้นฐาน” (Primary Healthcare) ให้ทุกคนเข้าถึงได้จริง
นอกจากนี้ หากโลกลงทุนเพียงครั้งเดียว 100,000–285,000 ล้านดอลลาร์ (3.8–10.8 ล้านล้านบาท) เราสามารถฉีด “วัคซีนให้เด็กทุกคนบนโลก” (Global Child Vaccination) เพื่อป้องกันโรคที่ป้องกันได้ทั้งหมด
พร้อมกันนั้น งบประมาณเพียง 120,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (4.6 ล้านล้านบาท) จะยุติ “ภาวะทุพโภชนาการในเด็ก” (Child Malnutrition)
และด้วยงบเพียง 17,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (6.5 แสนล้านบาท) มนุษย์ทุกคนจะเข้าถึง “ไฟฟ้าพลังงานสะอาด” (Clean Energy Access) จากแสงอาทิตย์และพลังงานลม
ยิ่งไปกว่านั้น เพียง 114,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (4.3 ล้านล้านบาท) ก็เพียงพอจะทำให้ทุกคนมี “น้ำดื่มสะอาดและสุขาภิบาล” (Clean Water & Sanitation) ทั่วถึงในกว่า 140 ประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง
หากโลกทุ่มงบเพียง 93,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (3.5 ล้านล้านบาท) — ซึ่งคิดเป็นน้อยกว่า 5% ของต้นทุนภัยพิบัติทั้งหมด
เราจะสามารถ “ยุติความหิวโหย” (Zero Hunger) ได้ภายในปี 2030
ในทำนองเดียวกัน งบ 387,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (14.6 ล้านล้านบาท) จะช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนา “ปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ” (Climate Adaptation) ได้อย่างยืดหยุ่น
และหากลงทุนเพียง 230,000–280,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (8.6–10.5 ล้านล้านบาท) โลกก็สามารถ “ขจัดความยากจนขั้นรุนแรง” (End Extreme Poverty) และลดช่องว่างทางเศรษฐกิจได้จริง
ดังนั้น “การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เท่ากับ การปลดล็อกงบระดับโลก เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เลขาธิการสหประชาชาติ (UNDRR) เผย

ภัยพิบัติในศตวรรษนี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น — แต่มาจาก “พฤติกรรมของมนุษย์” (Human Behavior) ด้วย
เพราะเราบริโภคเกินพอดี ทำลายระบบนิเวศ และละเลยความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ดังนั้น “การสร้างความยืดหยุ่น” (Building Resilience) จึงไม่ใช่เพียงการสร้างเขื่อนหรือปลูกป่า แต่มันคือ “การเยียวยาวิถีชีวิตของเราเอง”
เมื่อเราลงทุนใน จริยธรรม (Ethics), ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ (Economic Justice),
และ โครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (Sustainable Infrastructure)
เราจะลดได้ทั้ง “ความเสี่ยงทางกายภาพ” (Physical Risks) และ “ความเสี่ยงทางศีลธรรม” (Moral Risks) ไปพร้อมกัน
แม้โลกจะจ่ายมหาศาลเพื่อเยียวยาความเสียหาย แต่ในทางกลับกัน งบประมาณที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติกลับน้อยจนน่าตกใจ
ปัจจุบันมีเพียง 2% ของความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (Development Aid) และไม่ถึง 1% ของงบประมาณรัฐบาลทั่วโลก (Government Budget)
ที่ถูกจัดสรรให้กับการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ (DRR)
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยทั่วโลกยืนยันว่า ทุก ๆ 1 ดอลลาร์ ที่ลงทุนใน DRR สามารถ ประหยัดเงินได้อีกหลายดอลลาร์ จากค่าฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ
ดังนั้น นี่ไม่ใช่ “ค่าใช้จ่าย” (Expense) แต่คือ “การลงทุนระยะยาว” (Long-term Investment) เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนของมนุษยชาติ
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลทั่วโลกจึงควรกันงบ DRR อย่างชัดเจน ราว 5–10% ของงบประมาณประจำปี (Annual Budget)
พร้อมทั้งบูรณาการแนวคิดนี้เข้ากับทุกโครงการพัฒนา โดยเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เพื่อให้เงินทุกบาทสร้างผลลัพธ์ที่แท้จริงและยั่งยืน
องค์การสหประชาชาติเตือนมนุษย์โลกอีกครั้ง – ถึงเวลาแล้วที่เราต้อง “ลงทุนในความยืดหยุ่น” (Invest in Resilience)
ไม่ใช่เพียงเพื่อรับมือกับพายุลูกต่อไปเท่านั้น แต่เพื่อสร้าง “ระบบที่ทนต่อแรงสั่นสะเทือนของอนาคต” (Future-proof System)
ระบบที่ปกป้องทั้งชีวิต เศรษฐกิจ และความหวังของมนุษย์
“ความยืดหยุ่นไม่ใช่การยืนหยัดเพียงลำพัง
แต่มันคือ การยืนหยัดร่วมกัน — เพื่อโลกที่ปลอดภัยกว่า ยุติธรรมกว่า และยั่งยืนสำหรับทุกชีวิต” 🌍
สรุปส่งท้าย
“การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ” คือกุญแจสู่ เป้าหมาย SDGs และเศรษฐกิจโลกที่ยั่งยืนกว่าเดิม