
ปัญหาสิ่งแวดล้อมมันใหญ่เกินกว่าที่ใครคนเดียวจะแก้ได้ และการช่วยปลายทางอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ เราจึงต้องกลับมามอง “จุดเริ่มต้นของปัญหา” ที่แท้จริง ในผืนป่า มีพืชชนิดหนึ่งที่สามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างกลมกลืน มันช่วยให้ดินกลับมาสมบูรณ์ เก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ดี และลดการเผาป่าได้จริง พืชนั้นคือ “กาแฟ”
กาแฟเป็นพืชที่สามารถชดเชยการปลูกพืชหมุนเวียนที่ต้องเผาป่าทำไร่ และคืนชีวิตให้ผืนดินได้อีกครั้ง จากแนวคิดนี้จึงเกิดโครงการ Future Harvest ที่มอบต้นกล้ากาแฟจำนวน 5,000 ต้น ให้กับอำเภอกัลยาณิวัฒนา เพื่อเริ่มต้นการสร้าง “ป่าที่คนอยู่ได้ และคนที่อยู่ได้เพราะป่า”

สมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ธุรกิจดำเนินการมากว่า 40 ปี เพราะปลูกฝังแนวคิดการสร้างคุณค่าธุรกิจสู่ความยั่งยืน ในการดูแล 4 เสาหลัก ได้แก่ ลูกค้า พนักงาน คู่ค้า และสังคม
ในโลกที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและวิกฤตสิ่งแวดล้อมทวีความซับซ้อนมากขึ้นทุกปี องค์กรที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และขยายบทบาทของธุรกิจให้กว้างกว่าแค่ผลกำไร
การเป็นองค์กรยุคใหม่ในโลกหน้า จะต้องตอบคำถามว่า “เราจะสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมได้อย่างไร โดยไม่ผูกติดกับธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว?”
นี่คือเหตุผลที่เราเลือกลงทุนในธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจหลัก แต่สอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับ “ภารกิจด้านความยั่งยืน”

โดยเข้าไปมีส่วนสร้างผลกระทบเชิงบวก ลดปัญหาหลักของประเทศ ที่มีทั้ง ปัญหาสิ่งแวดล้อม ฝุ่นควัน PM2.5,ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเข้าถึงโอกาส,การรุกล้ำทรัพยากรป่าไม้
เมื่อทรัพยากรเสื่อมโทรม คนก็ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเข้าไปทำงานในเมืองกรุง สั่นคลอนความเข้มแข็งในชุมชน
“เราเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพ ไม่ว่าจะมีพื้นฐานชีวิตแบบใดก็ตาม โอกาสในการเติบโตและการศึกษาไม่ควรเป็นสิ่งจำกัดเฉพาะบางกลุ่ม”
บทบาทของแสนสิริ จึงร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ผู้ออกแบบแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมพลังองค์กร มูลนิธิ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมในสังคม ส่งเสริม “กาแฟ” ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะสามารถเป็นเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้สังคมได้ ปลดล็อกปัญหาต่างๆ ประกอบด้วย

“การสร้างศูนย์กาแฟ เป็นการสร้างอาชีพ เพื่อดึงคนกลับบ้านเกิดได้ เพราะมีโอกาสสร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น สังคมและเศรษฐกิจก็ยั่งยืน”
ที่มาที่แสนสิริ เข้าไปพัฒนาโครงการ “ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร” พร้อมไร่กาแฟต้นแบบบนพื้นที่กว่า 16 ไร่ ที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่
พันธมิตรแห่งการเปลี่ยนแปลง การสร้างความระหว่างแสนสิริ ดึงพันธมิตร ไร่แสนชัย – บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ ซึ่งที่ปรึกษาของสมาคมกาแฟพิเศษ ทำหน้าที่รวบรวมทุกองค์ความรู้ตั้งแต่ “ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ทดลอง พัฒนา และเพาะสายพันธุ์กาแฟพิเศษ
ที่มาของการเลือกทำกาแฟ เพราะเคยทำโครงการคัดกาแฟพิเศษจากภาคเหนือมาเสิร์ฟในร้านกาแฟ ตั้งแต่ปี 2556 แต่เป็นโครงการความรับผิดชอบทางสังคม (CSR) ไม่ส่งผลต่อความยั่งยืนและต่อเนื่อง
จนปี 2567 ได้ทำงานกับชุมชนปลูกกาแฟใน จ.เชียงใหม่อีกครั้ง โดยการส่งมอบต้นกล้ากาแฟ 5,000 ต้นให้เกษตรกร จึงเป็นที่มาของการลงมือทำโครงการใหม่ ที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
“แทนที่จะใช้เงิน CSR ปีต่อปี เราควรตั้งเป็น ‘ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)’ ให้ชัดเจน มีรายรับ รายจ่ายจริง สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และสร้างผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องกว่าเดิม”

โครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้กาแฟพิเศษ เป็นโครงการระยะยาว 5 ปี โดยเริ่มต้นวางฐานงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2568 และเริ่มจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี พ.ศ. 2569 งบประมาณ 3 ปีแรก: 3-5 ล้านบาท
เป้าหมายสูงสุด: สร้างแหล่งเรียนรู้กาแฟพิเศษที่ยกระดับชีวิตเกษตรกร และสร้างการเปลี่ยนแปลงระดับระบบ (System Change) ให้เกิดขึ้นจริงในจังหวัดต้นแบบ และขยายผลต่อได้ในอนาคต

“เมื่อครบ 5 ปี หวังว่าสิ่งที่ทำ ตั้งแต่การปลูก สร้างแหล่งเรียนรู้ ทดลองรูปแบบธุรกิจ และทำงานร่วมกับเกษตรกร จะกลายเป็น ‘โมเดลต้นแบบด้านความยั่งยืน’ จากคนที่ไม่ได้รู้เรื่องกาแฟอย่างแสนสิริ เมื่อเริ่ม ‘ตั้งไข่’ จะเต็มไปด้วยความหวัง ในการเป็นต้นแบบที่ทำให้สังคมไทย เกิดความยั่งยืน จากการลงมือทำร่วมกัน”
ในอดีต องค์กรจำนวนมากทำ CSR แบบ “กิจกรรมครั้งเดียวจบ” แต่ในปัจจุบัน ภาคธุรกิจเผชิญหน้ากับความท้าทายมากมาย ทั้ง ปัญหา PM 2.5,น้ำท่วม ภัยธรรมชาติ,ความเหลื่อมล้ำในชนบท ทำให้ต้องการความต่อเนื่องในการมีส่วนแก้ไขปัญหาระยะยาว
ข้อดีของ Social Enterprise เมื่อทุ่มงบประมาณตั้งวิสาหกิจชุมชน หรือ ธุรกิจเพื่อสังคม เพียงครั้งเดียว จะไม่ต้องกลับมาพึ่งงบ CSR ปีต่อปี เพราะ
– มีรายรับ–รายจ่ายจริง สามารถวัดผลกระทบต่อสังคม (Social Impact KPIs)
– สร้างการเติบโตได้ตามหลักธรรมาภิบาล
– หวังผลตอบแทนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Impact Return)
แก้ปัญหาที่ต้นตอ ของชาว เชียงใหม่ที่ต้องเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื้อรัง PM 2.5,ภัยแล้งและน้ำท่วม, การบุกรุกป่า เพราะรายได้เกษตรกรไม่มั่นคง จึงต้องเริ่มต้นจากการพัฒนาเป็น “แหล่งเรียนรู้กาแฟพิเศษ” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบนิเวศ
ด้าน ชนิญดา ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง BEANS Coffee Roaster กล่าวถึงโอกาสของตลาดกาแฟพิเศษ (Spciealty Coffee) โดยการอธิบายข้อมูลตลาดที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตสร้างมูลค่าให้กับกาแฟไทยสํงถึง 30,000 ล้านบาท และเติบโตขึ้นทุกปี จุดอ่อนคือ ไทยยังนำเข้ากาแฟกว่า 60,000 ตันต่อปี สูงกว่าการส่งออกหลายเท่า ดังนั้น เมื่อเห็นโอกาสตลาด จึงสามารถปลดล็อกปัญหาสังคม และสิ่งแวดล้อม หากส่งเสริมการผลิตกาแฟพิเศษได้เพิ่มขึ้น จะคืนรายได้สู่เกษตรกรได้สามเท่าหรือมากกว่านั้น

นี่คือโอกาสสำคัญ ถ้าไทยเพิ่มกำลังการผลิตกาแฟคุณภาพ จะลดการนำเข้า ดึงมูลค่ากลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และให้เกษตรกรอยู่กับบ้านเกิดได้โดยไม่ต้องย้ายถิ่น
เพราะคุณค่าของเมล็ดกาแฟ มีมูลค่าและคุณค่ามากกว่ารสชาติ เพราะการกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนชีวิตคน สังคม และสิ่งแวดล้อม
“เมล็ดกาแฟที่ทุกคนดื่ม หากมาจากการส่งเสริมอย่างมีความรับผิดชอบทั้งระบบนิเวศ จะช่วยให้เด็กภาคเหนือได้กลับไปโรงเรียน หยุดควันไฟ และสร้างรอยยิ้มจากกาแฟที่มาจากความยั่งยืน”
“การกลับบ้าน” คือสิ่งที่หลายคนในชนบทยังกลัว เพราะถูกสังคมตราหน้าว่าคือ “คนล้มเหลว”
แสนชัยเคยออกจากบ้านไปหางานในเมือง เพราะพ่อแม่หวังให้มีอาชีพมั่นคง แต่สุดท้ายเขาเลือกกลับบ้าน มาปลูกกาแฟที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา กลับมาเป็นคนต้นน้ำของการเปลี่ยนแปลง เพราะได้เรียนรู้ จากอดีต ครอบครัว พ่อกับแม่ เคยอยู่ในยุคของการปลูกฝิ่น ที่ต้องอพยพจากดอยช้าง มาอยู่เชียงใหม่
ชีวิตแสนชัยเปลี่ยนไป แสนชัยกลายเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ที่ส่งเสริมให้รุ่นน้อง ได้กลับบ้าน อย่างภาคภูมิใจ” หลังจากเข้าไปปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ใหญ่ในป่า ทำให้ช่วยดูแลผืนป่า มีผลผลิตสม่ำเสมอ ปลอดโรค มีรายได้มั่นคงขึ้น ชีวิตสุขภาพดีขึ้น ทั้งกายและใจ

เป็นเหตุผลให้คนรุ่นใหม่ที่ไปศึกษาหรือทำงานในเมืองกลับมายังบ้านและครอบครัว เพราะการปลูกกาแฟคุณภาพสูงด้วย Eco Farming ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้ระบบปลูกใต้ร่มไม้ในป่า ซึ่งกาแฟอาราบิก้าต้องการเงาของต้นไม้บนที่สูง ช่วยป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า
การก่อตั้งศูนย์ฯ แห่งนี้ เป็นการลงทุนในคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะนี่คือการสร้างโมเดลที่สามารถ เยียวยาสังคม และ ฟื้นคืนผืนป่า ได้อย่างยั่งยืน
“วันนี้ศูนย์กาแฟของเขากลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดึงคนรุ่นใหม่กลับมาบ้าน สร้างงาน สร้างรายได้ และความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวและชุมชน”
กาแฟปลูกได้สองแบบ กลางแจ้งและใต้ร่มไม้ กลางแจ้งให้ผลผลิตมากแต่เสี่ยงโรคและทำลายดิน ส่วนใต้ร่มไม้ให้ผลผลิตน้อยกว่าแต่สม่ำเสมอ ดินดี และระบบนิเวศกลับมา กว่า 99% ของโครงการนี้เลือกปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ เพื่อสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความรับผิดชอบต่อสังคม พวกเขาเน้นปลูกสายพันธุ์ที่มีมูลค่าสูงอย่างอาราบิก้า เพื่อสร้างตลาดกาแฟพิเศษที่ตอบโจทย์โลก
“ป่ากับกาแฟอยู่ด้วยกันได้ คนอยู่ได้ ป่าอยู่ได้” แนวคิดที่กลายเป็นชีวิตจริงของเกษตรกรบนดอย
บริรักษ์ อภิขันติกุล ที่ปรึกษาโครงการศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกาแฟพิเศษไทย กล่าวว่าาอยากให้เกษตรกรไทยเข้าใจวิธีการผลิต และการต่อยอดไปสู่กาแฟพิเศษ โดยเริ่มตั้งแต่ กระบวนการคัดเลือกเมล็ด การตากกาแฟ และการจัดการของเสีย เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้กาแฟธรรมดากลายเป็นพันธ์ุพิเศษ(Specialty) ที่มีคะแนน 85+ และราคาสูงขึ้น 3-5 เท่า
ทั้งนี้ เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และเครื่องมือในการควบคุมคุณภาพ จึงมั่นใจได้ว่าโปรเจ็กต์ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรนี้ จะเป็นการเซ็ตมาตรฐานการทำงานของเราให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้เกษรตกร ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างความแข็งแกร่งกับอาชีพ
การทำงานในทุกช่วงของห่วงโซ่กาแฟ ตั้งแต่ไร่ โรงคั่ว จนถึงแบรนด์ปลายน้ำ เขาเชื่อว่า “กาแฟดี ไม่ได้วัดที่รสชาติเท่านั้น แต่คือความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”
เป้าหมายของเขาคือผลักดันกาแฟไทยให้ไปสู่ตลาดโลก ด้วยการยกระดับมาตรฐานการผลิตและสร้างสตอรี่ที่เล่าเรื่องความยั่งยืนของคนไทย เขาทำให้กาแฟไทยกลายเป็น Soft Power ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอยากมาเรียนรู้ ผ่านฟาร์มสเตย์และกิจกรรมลงมือคั่วกาแฟเอง
กาแฟไทยมีศักยภาพไม่แพ้ปานามาหรือเอธิโอเปีย มีเอกลักษณ์ในรสชาติ ราคาสมเหตุสมผล และเป็น Hidden Gem ที่โลกยังไม่รู้จัก เขาเชื่อว่าถ้าเรายกระดับคุณภาพ สร้างองค์ความรู้ให้ครบวงจร ตั้งแต่ฟาร์มถึงถ้วย เราจะได้กาแฟที่ดีต่อคน ต่อโลก และต่อหัวใจ
อัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์ หนี่งในผู้ก่อตั้งบีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวที่บ้านมีไร่กาแฟ และทำโรงคั่วเอง จนกระทั่งมาร่วมกับเพื่อนๆ ทำร้านบีนส์ เราเชื่อว่ากาแฟที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่ยังเป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลาดโลกยอมรับคุณภาพกาแฟไทย แต่เราต้องช่วยกันสร้างระบบให้เกษตรกรเข้าถึงมาตรฐานนั้นได้ กระบวนการ (Process) ที่ได้คุณภาพ จะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรผ่านการยกระดับคุณภาพและการสร้างแบรนด์ นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรใหม่ ที่ผู้เยี่ยมชมสามารถเรียนรู้กระบวนการผลิตกาแฟตั้งแต่ต้นจนจบในที่เดียว
“การร่วมมือกันทำงานครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างอาชีพที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งยังเป็นการใช้ข้อได้เปรียบของไทยที่มีห่วงโซ่การผลิตครบวงจร ตั้งแต่ยอดดอยจนถึงร้านกาแฟต่างๆ ที่เติบโตอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และคาดว่าศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจรแห่งนี้จะเป็น Sustainable Model ในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์–สินค้า ที่เชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม เป็นแหล่งรวบรวมสายพันธุ์กาแฟเพื่อศึกษา ทดลอง และกระจายพันธุ์ เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมกาแฟไทยกับนานาชาติ” สมัชชา กล่าวสรุป