
เมื่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมต้องการคำตอบจากคนรุ่นใหม่ ท่ามกลางยุคที่โลกกำลังจมอยู่ในวิกฤตขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ประเทศไทยเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษชี้ชัดว่า ประเทศไทยผลิตขยะพลาสติกกว่า 2 ล้านตันต่อปี และมีขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ส่วนใหญ่ถูกทิ้งอย่างไม่ถูกวิธี ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ ช่องว่างความรู้และพฤติกรรม ของคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมยั่งยืน แม้จะได้เรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน แต่ยังขาดประสบการณ์จริงและแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม การสร้างจิตสำนึกและทักษะในการจัดการขยะอย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเริ่มต้นจากสถาบันการศึกษา
นี่คือที่มาของแนวคิด “Green University” – การปลูกฝังรากฐานความยั่งยืนตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างเยาวชนที่มี “ปริญญา” พร้อมทั้ง “จิตสำนึก” ในการสร้างโลกที่ยั่งยืน
โครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 3” เกิดจากความร่วมมือของสององค์กรชั้นนำของประเทศ ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของไทยที่มุ่งมั่นผลักดันการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างรับผิดชอบ และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือPTTGC ผู้นำด้านปิโตรเคมีและวัสดุพลาสติกที่ขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างจริงจัง
โครงการนี้มุ่งหวังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนผ่าน 4 เป้าหมายสำคัญ ได้แก่ การปลูกฝังความเข้าใจเรื่องผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์และพลาสติก พร้อมสร้างพฤติกรรมการทิ้งขยะอย่างถูกวิธีให้แก่นิสิตนักศึกษา, การขยายพื้นที่การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยในปีที่ 3 มีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมกว่า 50 แห่งจากทุกภูมิภาค, การส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาพัฒนาไอเดียและนวัตกรรมในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ไปจนถึงโมเดลธุรกิจเพื่อสังคม และการผลักดันให้เกิดการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อสร้างผลกระทบที่วัดได้จริงต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ทางทฤษฎี
โครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 3” ได้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการที่ครอบคลุม 3 มิติ ตั้งแต่การตระหนักรู้ การลงมือทำ ไปจนถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรม ผ่าน 3 ภารกิจหลัก ที่ท้าทายและสร้างแรงบันดาลใจ
เป้าหมาย: เฟ้นหา “มหาวิทยาลัยสีเขียว” ที่สามารถรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) และขวดพลาสติก (PET และ HDPE) ได้มากที่สุด
กระบวนการ: มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจัดตั้งจุดรับขยะภายในมหาวิทยาลัย โดยนิสิตนักศึกษาร่วมกันรณรงค์และรวบรวมขยะจากเพื่อน อาจารย์ และชุมชนรอบข้าง มีการจัดกิจกรรมรณรงค์เช่น “E-Waste Day” และ “Plastic-Free Campaign” เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม ขยะที่รวบรวมได้จะถูกส่งไปกำจัดอย่างถูกวิธีหรือนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านระบบของ AIS และ PTTGC
คุณค่าที่ได้รับ: นิสิตนักศึกษาเรียนรู้การคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี สร้างวัฒนธรรมการจัดการขยะในสถาบันการศึกษา และเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากการลงมือทำ
ผู้ชนะเลิศ:
เป้าหมาย: สร้างคอนเทนต์คลิปวิดีโอบน TikTok ภายใต้หัวข้อ “Green Creator ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” เพื่อรณรงค์การทิ้งขยะอย่างถูกวิธี
กระบวนการ: นิสิตนักศึกษาออกแบบสคริปต์และสร้างสรรค์คลิปวิดีโอสั้นที่สื่อสารเรื่องการจัดการขยะอย่างสร้างสรรค์ ใช้พลังโซเชียลมีเดียในการกระจายข้อมูลและสร้างกระแสในวงกว้าง คลิปต้องมีทั้งความบันเทิงและสาระ เข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย และสร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงเปิดโหวตให้ประชาชนทั่วไปร่วมเลือก Popular Vote
คุณค่าที่ได้รับ: พัฒนาทักษะการสื่อสารและการสร้างคอนเทนต์ดิจิทัล เรียนรู้การออกแบบข้อความที่กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และขยายการรับรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมสู่สาธารณะผ่านแพลตฟอร์มที่คนรุ่นใหม่ใช้งาน
ผู้ชนะเลิศ:
เป้าหมาย: แข่งขันนำเสนอไอเดียธุรกิจ “Waste to Wealth: Business Model Pitching Contest 2025” ที่สร้างสรรค์และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยมุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อปัญหาขยะ
กระบวนการ: นิสิตนักศึกษาพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ใช้ขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือพลาสติกเป็นวัตถุดิบ นำเสนอแผนธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ มีการวิเคราะห์ต้นทุน รายได้ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนและภาควิชาการร่วมกันประเมินความเป็นไปได้และนวัตกรรม โดยผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลรวมกว่า 100,000 บาทเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอด
คุณค่าที่ได้รับ: พัฒนาทักษะการคิดเชิงธุรกิจและการแก้ปัญหาเชิงระบบ เรียนรู้การสร้างคุณค่าจากของเหลือใช้ตามแนวคิด Circular Economy เห็นโอกาสในการสร้างธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และเชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้ประกอบการและนักลงทุนที่สนใจ
ผู้ชนะเลิศ:
การขับเคลื่อนโครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 3” ไม่ได้มุ่งแค่สร้างกิจกรรม แต่ยังมีการวัดผลที่ชัดเจนและโปร่งใสในทุกมิติ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการสร้างผลกระทบที่แท้จริง
ปริมาณขยะที่รวบรวมได้: ตลอดโครงการสามารถรวบรวมขวดพลาสติกใช้แล้วได้กว่า 1.5 ล้านขวด ประกอบด้วย PET จำนวน 1,532,185 ขวด และ HDPE จำนวน 79,335 ขวด นอกจากนี้ยังรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ได้กว่า 42,822 ชิ้น รวมน้ำหนักทั้งสิ้นกว่า 37,365 กิโลกรัม
ผลกระทบด้านการลดคาร์บอนฟุตพรินต์: จากการรวบรวมและจัดการขยะอย่างถูกวิธี ทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 31,132 กิโลกรัม CO₂e ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 3,297 ต้น และช่วยประหยัดพลังงานจากการรีไซเคิลแทนการผลิตใหม่
การจัดการขยะอย่างถูกวิธี: ขยะทั้งหมดถูกส่งเข้าสู่ระบบการจัดการที่ถูกต้อง ไม่ทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อม โดยพลาสติกถูกนำไปแปรรูปใหม่ผ่านกระบวนการของ GC และขยะอิเล็กทรอนิกส์ถูกแยกชิ้นส่วนและนำกลับมาใช้ใหม่ผ่าน AIS E-Waste Hub
เครือข่ายมหาวิทยาลัย: โครงการได้สร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัยสีเขียวกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคตั้งแต่เหนือ อีสาน กลาง และใต้
จำนวนนิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วม: มีนิสิตนักศึกษาที่มีส่วนร่วมโดยตรงนับหมื่นคน และผู้ติดตามรับรู้ข้อมูลผ่านคอนเทนต์นับแสนคน
ความหลากหลายของกิจกรรม: โครงการจัดให้มี 3 ภารกิจหลักที่ครอบคลุมทักษะทั้งด้าน action, creativity และ entrepreneurship พร้อมด้วยการแข่งขันที่มีรางวัลมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท
การพัฒนาทักษะ: นิสิตนักศึกษาได้รับการพัฒนาทักษะการจัดการขยะผ่านการเรียนรู้การคัดแยก การจัดเก็บ และการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี พัฒนาทักษะการสื่อสารผ่านการสร้างคอนเทนต์และการนำเสนอไอเดีย เรียนรู้ทักษะการคิดเชิงธุรกิจผ่านการพัฒนาโมเดลธุรกิจจากขยะ และเสริมสร้างทักษะการทำงานเป็นทีมผ่านการประสานงานและขับเคลื่อนโครงการร่วมกัน
การสร้างนวัตกรรม: โครงการได้สร้างสรรค์ไอเดียธุรกิจที่สามารถต่อยอดได้จริงมากกว่า 20 โมเดล คอนเทนต์สร้างสรรค์ที่กระจายไปสู่สาธารณะนับร้อยคลิป และการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์จากวัสดุรีไซเคิล
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม: นิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการมีพฤติกรรมการทิ้งขยะที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มหาวิทยาลัยหลายแห่งจัดตั้งระบบรับขยะถาวรหลังจากโครงการสิ้นสุด และเกิดการขยายผลสู่ชุมชนรอบข้างและครอบครัว
การเข้าถึงในสื่อออนไลน์: คอนเทนต์บน TikTok และโซเชียลมีเดียอื่นๆ ได้รับการรับชมนับล้านครั้ง โดย Hashtag #GreenUniversityทิ้งเทิร์นให้โลกจำUpvel3 สร้างกระแสในวงกว้าง พร้อมการแชร์และการมีส่วนร่วมของประชาชนทั่วไป
การสร้างการรับรู้ในสังคม: สื่อมวลชนรายงานข่าวและเผยแพร่โครงการอย่างกว้างขวาง โครงการกลายเป็นต้นแบบให้สถาบันการศึกษาอื่นๆ ศึกษาและนำไปปรับใช้ และสร้างกระแสการพูดคุยเรื่องสิ่งแวดล้อมในกลุ่มคนรุ่นใหม่
โครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 3” ประสบความสำเร็จเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
1. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้ โครงการสามารถรวบรวมขยะได้กว่า 1.6 ล้านชิ้น มีน้ำหนักรวม 37,365 กิโลกรัม ลดการปล่อยคาร์บอน 31,132 กิโลกรัม CO₂e ซึ่งเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 3,297 ต้น
2. การสร้างเครือข่ายความยั่งยืนระดับชาติ สร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัยสีเขียวกว่า 50 แห่งครอบคลุมทุกภูมิภาค และสร้างต้นแบบ “Green University” ที่สามารถขยายผลได้
3. การพัฒนานวัตกรรมและไอเดียใหม่ เกิดไอเดียธุรกิจเพื่อสังคมที่มีศักยภาพสูง คอนเทนต์สร้างสรรค์ที่สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากวัสดุรีไซเคิล
คุณสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS
กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ AIS และ PTTGC ได้ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ ได้เห็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น AIS ภูมิใจที่ได้เห็นความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และเห็นไอเดียการสร้างสรรค์คอนเทนต์และโมเดลธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและจุดประกายความคิดของเยาวชนไทยให้พร้อมเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม เชื่อว่าการสร้างสังคมสีเขียวต้องเริ่มจากการลงมือทำและส่งต่อแรงบันดาลใจ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกใบนี้ต่อไป
คุณกิจชัย เฉลิมสุขสันต์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาดและการขาย กลุ่มลูกค้าแพลตฟอร์มอุตสาหกรรม PTTGC กล่าวว่า คุณค่าการอัปเวลความคิดของเยาวชน ที่เริ่มตั้งแต่การตระหนักรู้ การลงมือปฏิบัติจริง ไปจนถึงการต่อยอดแนวคิดสู่การสร้างสรรค์ ทั้งในรูปแบบของผลงานคลิปสั้นและไอเดียธุรกิจจากขยะ E-Waste และพลาสติกใช้แล้ว ถือเป็นการปลูกฝังรากฐานการปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อขยายผลสู่สังคมในวงกว้าง
1. การเปลี่ยนแปลงมุมมอง (Mindset Shift) นิสิตนักศึกษาเริ่มมองขยะเป็นทรัพยากรไม่ใช่ของเสีย เกิดความเข้าใจว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบแต่คือโอกาส การเปลี่ยนจาก “ทิ้ง” เป็น “เทิร์น” (Turn) หรือเปลี่ยนแปลง สะท้อนการเปลี่ยนทัศนคติเชิงบวก
2. การสร้างวัฒนธรรมองค์กร มหาวิทยาลัยหลายแห่งนำระบบรับขยะไปใช้ถาวร เกิดชมรมสิ่งแวดล้อมและทีมอาสาสมัครสีเขียวในมหาวิทยาลัย การจัดการขยะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมหาวิทยาลัย
3. การสร้างผู้นำรุ่นใหม่ นิสิตนักศึกษาที่เข้าร่วมกลายเป็น Change Agent ในชุมชนของตนเอง หลายคนเริ่มต้นธุรกิจเพื่อสังคมหรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เกิดเครือข่ายผู้นำด้านความยั่งยืนที่สามารถขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต
4. การขยายผลสู่สังคม ครอบครัวและชุมชนของนิสิตนักศึกษาได้รับอิทธิพลเชิงบวก สื่อสาธารณะให้ความสนใจและช่วยเผยแพร่ องค์กรอื่นๆ เริ่มสนใจและขอความร่วมมือในลักษณะเดียวกัน
จากการดำเนินโครงการพบว่า การเรียนรู้ต้องมาพร้อมการปฏิบัติ เพราะความรู้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องให้โอกาสในการลงมือทำเพื่อสร้างประสบการณ์จริง นอกจากนี้การสร้างแรงจูงใจที่หลากหลายก็เป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าการแข่งขันและรางวัลจะเป็นแรงจูงใจในระยะสั้น แต่ความภูมิใจและความหมายคือแรงขับเคลื่อนระยะยาว การใช้สื่อที่คนรุ่นใหม่คุ้นเคยอย่าง TikTok และโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสื่อสารและสร้างกระแส ที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และนิสิตนักศึกษาคือกุญแจสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลง
สำหรับการพัฒนาต่อยอด ควรขยายเครือข่ายให้กว้างขวางขึ้นด้วยการเพิ่มจำนวนมหาวิทยาลัยเข้าร่วมเป้าหมาย 100 แห่ง และขยายไปสู่โรงเรียนมัธยมและสถาบันอาชีวศึกษา รวมถึงการเชื่อมโยงกับหลักสูตรการเรียนการสอนด้วยการบูรณาการเข้ากับวิชาการศึกษาทั่วไปหรือวิชาเลือก และสร้างหน่วยกิตจากการทำโครงการด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ควรพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับสร้างแอปพลิเคชันติดตามปริมาณขยะและคะแนนคาร์บอน พร้อมระบบฐานข้อมูลกลางสำหรับแบ่งปัน Best Practices สร้างความต่อเนื่องและยั่งยืนด้วยการตั้งกองทุนสนับสนุนโครงการนิสิตนักศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม และจัดตั้ง Green University Network อย่างเป็นทางการ รวมถึงการเชื่อมโยงกับโอกาสทางอาชีพด้วยการจัด Job Fair สำหรับ Green Jobs และ Social Enterprise และเชื่อมต่อนิสิตนักศึกษากับนักลงทุนและ Accelerator Programs
โครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ Upvel 3” พิสูจน์แล้วว่า การศึกษา คือรากฐานสำคัญที่สุดของการสร้างสังคมยั่งยืน เมื่อมหาวิทยาลัยกลายเป็น “แหล่งเพาะพันธุ์ผู้นำสีเขียว” นิสิตนักศึกษาจะได้รับมากกว่าแค่ปริญญาสาขาวิชาต่างๆ แต่จะได้ “ปริญญาแห่งความรับผิดชอบ” ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
จากกว่า 50 มหาวิทยาลัย นับหมื่นนิสิตนักศึกษา และกว่า 1.6 ล้านชิ้นขยะที่รวบรวมได้ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นสัญญาณแห่งความหวังว่าคนรุ่นใหม่พร้อมแล้วที่จะเป็น Change Maker ที่แท้จริง
ความร่วมมือระหว่าง AIS และ PTTGC เป็นตัวอย่างที่ดีของภาคเอกชนที่ไม่ได้มองความยั่งยืนเป็นเพียง CSR แต่มองเป็น “การลงทุนในอนาคต” และ “ความรับผิดชอบร่วม” ในการสร้างสังคมที่ดีกว่า
ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นจริงได้เมื่อทุกคนมีส่วนร่วม ความแตกต่างจะเป็นพลังสร้างอนาคตได้เมื่อเริ่มลงมือทำ การศึกษาคือรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และขยะไม่ใช่ของเสีย แต่คือทรัพยากรและโอกาส
“ปริญญาที่แท้จริง ไม่ได้วัดจากความรู้เพียงอย่างเดียว แต่วัดจากความรับผิดชอบที่เรามีต่อโลกใบนี้ และการลงมือทำเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน”
เพราะในที่สุด มหาวิทยาลัยไม่ได้ผลิตแค่บัณฑิต แต่ผลิต “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ที่โลกใบนี้ต้องการ