
วันนี้โลกและไทยกำลังเผชิญกับ 3 วิกฤตรวมศูนย์ของระบบอาหาร ได้แก่ 1. Double Burden of Malnutrition เด็กบางส่วนขาดสารอาหาร ขณะที่อีกส่วนเจอโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อจากอาหารอุตสาหกรรม, 2. ระบบอาหาร คือ “ผู้ร้ายโลกร้อน” ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 1 ใน 3 ของทั้งหมด และสร้างขยะกว่า 40%, และ 3. ความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร ที่ทำให้เด็กไทยจำนวนมากในพื้นที่ห่างไกลยังเข้าไม่ถึงอาหารคุณภาพ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า “การบริโภคแบบเดิม” ไม่ยั่งยืนอีกต่อไป
ด้วยโจทย์นี้ ดานอนจึงใช้เวที “2025 Sustainability Press Conference” เพื่อ พลิกโมเดลอาหารด้วย 3 กลยุทธ์ ESG ที่พิสูจน์ได้จริง ได้แก่
1. นวัตกรรมโภชนาการเฉพาะทาง ลดภาวะโลหิตจางในเด็ก 2,000 วันแรก ด้วยสูตรอาหารเสริมธาตุเหล็กและซินไบโอติก
2. เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ลดน้ำตาล-เกลือ ลดขยะอาหาร ลดคาร์บอนในทุกกระบวนการ
3. สร้างเศรษฐกิจอาหารแบบมีส่วนร่วม เชื่อม SME และเกษตรกรไทยเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่า เพิ่มรายได้ ฟื้นฟูระบบนิเวศ และสร้างความเชื่อมั่นเชิงธุรกิจ
ดานอนจึงเป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ “ใส่ ESG เข้าไปในทุกชั้นของอาหาร” ตั้งแต่การคิดสูตร ผลิต ส่งมอบ จนถึงการให้ข้อมูลโปร่งใสแก่ผู้บริโภค เปลี่ยนความคิดจาก “ขายอาหาร” เป็น “ออกแบบระบบอาหารยั่งยืน” ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะสุดท้าย เมื่อแบรนด์ผู้นำขยับ อุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบก็ต้องปรับตัวตาม — สู่อนาคตที่คนกินดีขึ้น โลกไม่พัง และเศรษฐกิจฐานรากเติบโตไปพร้อมกันอย่างแท้จริง

คุณแดนิช ราห์มัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดานอนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้ว่า เป้าหมายความยั่งยืนของดานอนไม่ได้เริ่มจากการขายอาหารดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่คือการ “ออกแบบระบบอาหารใหม่” ที่ดีต่อผู้คนและโลกในระยะยาว ผ่านการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ นักวิชาการ ชุมชน และผู้บริโภค เพื่อผลักดันให้ “ระบบอาหารไทย” เดินหน้าอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และยั่งยืนจริง
“ดานอนไม่ได้หยุดแค่แนวคิดการทำให้อาหารดีต่อโลก แต่ต้องลงมือแก้ปัญหาเฉพาะจุด โดยเฉพาะ ภาวะขาดสารอาหารในเด็กเล็ก ที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ของไทย” คุณแดนิช ราห์มัน, ดานอนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภายใต้เป้าหมายนี้ ดานอนจึงเดินหน้าออกแบบนวัตกรรมอาหารเชิงวิทยาศาสตร์ ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและชุมชนในการยกระดับโภชนาการของเด็กเล็ก และสื่อสารอย่างโปร่งใสกับผู้บริโภคในทุกขั้นตอน — นี่คือก้าวสำคัญของการสร้าง “อนาคตระบบอาหารไทย” ที่ทั้งคนกินดี โลกอยู่ได้ และเศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน.
ทางด้านคุณวินเซนต์ เต รองประธานฝ่ายโภชนาการเฉพาะทางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากดานอน อธิบายถึงภารกิจสำคัญของบริษัทในการยกระดับสุขภาพเด็กไทย โดยชี้ว่า “ปัญหาภาวะขาดสารอาหารและไมโครนิวเทรียน” ในเด็กเล็ก โดยเฉพาะช่วง 2,000 วันแรกของชีวิต คือช่ว งเวลาชี้ชะตา เพราะเป็นช่วงที่สมองและระบบภูมิคุ้มกันพัฒนาถึงกว่า 90% ดานอนจึงเริ่มต้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย “หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์” ผสานความเข้าใจในบริบทท้องถิ่น เพื่อสร้างสูตรอาหารที่ “เข้าถึงง่าย ราคาไม่แพง และใช้งานได้จริง”
“เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ แต่คือ การออกแบบระบบอาหารใหม่ที่ดูแลคนทุกวัยตั้งแต่เด็กแรกเกิด” วินเซนต์ เต, ดานอนอาเซียน
หนึ่งในผลลัพธ์จากการขับเคลื่อนนี้ คือ การพัฒนาสูตรเสริมธาตุเหล็กที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมได้มากขึ้น ถึง 3 เท่า เพื่อลดปัญหาโลหิตจางในเด็กต่ำกว่า 5 ปี ควบคู่กับการพัฒนาสูตร ซินไบโอติก (Synbiotic) สำหรับเด็กผ่าคลอดที่มีความเสี่ยงด้านภูมิคุ้มกันต่ำ นอกจากนี้ ดานอนยังร่วมมือกับกรมอนามัย (DOH) และกรุงเทพมหานคร (BMA) ในโครงการ “เด็กฉลาดด้วยธาตุเหล็ก” ด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์ตรวจความเสี่ยงแบบไม่ต้องเจาะเลือด พร้อมให้ความรู้และติดตามผลในโรงเรียนและชุมชนทั่วประเทศ เพื่อให้เด็กทุกคนมีโอกาสเติบโตอย่างแข็งแรงตั้งแต่วันแรกของชีวิต
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับดานอน “ESG ไม่ใช่การเสริมภาพลักษณ์ แต่เป็นโครงสร้างหลักของธุรกิจ” ที่ถูกออกแบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ—ตั้งแต่การคิดสูตรอาหาร การเลือกวัตถุดิบ และการสื่อสารโปร่งใสกับผู้บริโภค ทุกผลิตภัณฑ์จึงต้องตอบโจทย์ทั้ง สุขภาพของคน และสุขภาพของโลก อย่างแท้จริง
รศ.ดร.ธัญญ์นลิน วิญญูประสิทธิ์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า พฤติกรรมของผู้บริโภควันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแค่อาหารอร่อยหรือราคาถูก แต่ต้องการ “อาหารที่รู้ที่มา” ผ่านข้อมูลโภชนาการที่โปร่งใส ตรวจสอบผลกระทบด้านสุขภาพได้จริง และมีราคาที่เข้าถึงได้ เธอย้ำว่า บริษัทอาหารต้องเริ่มต้นจากการเปิดเผยข้อมูลครบถ้วน ตั้งแต่การผลิตจนถึงฉลาก และสร้างระบบที่ผู้บริโภค “เชื่อใจได้” ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้เป็นสากล

ด้านคุณนุ่น – ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดงและนักขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม เสริมว่า ผู้บริโภคทุกคนมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงโลกผ่าน “การเลือกซื้อ” เพราะทุกสิ่งที่เราหยิบจากเชลฟ์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์น้อย สินค้าจากแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือการตั้งคำถามถึงแหล่งที่มาของอาหาร ล้วนเป็นแรงส่งสำคัญที่ขับเคลื่อนผู้ผลิตให้ปรับตัว และผลักดันให้ตลาดอาหารเดินหน้าสู่ความยั่งยืน
“เมื่อผู้บริโภคเห็นผลลัพธ์จากการเลือกของตัวเอง เราจะไม่ใช่แค่ผู้ร่วมวง แต่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ศิรพันธ์ วัฒนจินดา
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ทุกเสียงที่เลือกสินค้าบนชั้นวาง ก็คือ “เสียงที่โหวตให้อาหารและโลกที่จะส่งต่อให้รุ่นต่อไป”
และดานอนกำลังทำให้ “การเลือกสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและโลก” เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และเข้าถึงได้สำหรับทุกครอบครัว
ดานอนทำให้การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพและดีต่อโลก “ง่ายขึ้นและเข้าถึงได้” ตั้งแต่ชั้นวางสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงนวัตกรรมโภชนาการที่ส่งตรงถึงโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล เพราะระบบอาหารไทยจะเปลี่ยนได้จริง ก็ต่อเมื่อ “ผู้ผลิต” และ “ผู้บริโภค” ขยับไปในทิศทางเดียวกัน นี่คือเหตุผลที่ดานอนปักหมุดโมเดลความยั่งยืนใหม่ในประเทศไทยด้วย 3 แกนหลัก:
People (ผู้คน) : ปรับสูตรอาหารแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ภาวะขาดธาตุเหล็กในเด็ก
Planet (โลก) : ลดน้ำตาล-เกลือ ลดการใช้พลังงาน-ทรัพยากร ผลิตอย่างหมุนเวียนตามหลัก Circular Economy
Prosperity (ความมั่งคั่งเท่าเทียม) : เปิดโอกาสให้ SME และเกษตรกรท้องถิ่นมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อาหาร เพิ่มรายได้และความมั่นคงระยะยาว
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การสร้างภาพลักษณ์ แต่คือ การสร้าง “ระบบอาหารใหม่ให้ประเทศ” ด้วยกลยุทธ์ ESG ที่เชื่อมโยงทั้งสุขภาพของคน สังคม และสิ่งแวดล้อมในแบบที่วัดผลได้จริง เพราะเมื่อผู้นำอุตสาหกรรมอย่างดานอนเริ่มต้นขยับ… ทั้งระบบอาหารไทยก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดนิ่งอีกต่อไป.