
การประชุม COP30 (Conference of the Parties) ครั้งที่ 30 หรือ การประชุมประจำปีภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC – United Nations Framework Convention on Climate Change) ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญที่สุดของโลกในการตัดสินใจด้านนโยบายและทิศทางการแก้ปัญหาโลกร้อน ปี 2025 การประชุม COP30 จัดขึ้นที่เมืองบาเลม (Balem) รัฐปารา ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2025 โดยมีนายอังเดร กอร์เรอา ดู ลาโก (André Aranha Corrêa do Lago) นักการทูตและผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศของบราซิล โดยบราซิลเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม มาในธีม “COP of Truth” เวทีแห่งความจริง ะเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ กล้ายอมรับความล้มเหลว ความล่าช้า และความจริงที่ว่าโลกกำลังพลาดเป้าสำคัญ ในการร่วมมือควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงกว่า 1.5°C
COP30 ในปีนี้เปิดโอกาสให้มีเวทีประชาชน ( People’s Summit) ที่เปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปชนพื้นเมือง ภาคประชาสังคมกว่า 25,000 คนได้ร่วมแสดงพลัง เข้ามามีส่วนร่วมภาคประชาชนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ COP

การประชุมครั้งนี้ถูกมองว่าเป็น “โอกาสสุดท้าย” ที่มนุษยชาติจะกลับมาอยู่ในเส้นทางลดโลกร้อน ก่อนที่ระเบิดเวลา 1.5°C จะเลยจุดที่แก้ไขไม่ได้
หนึ่งในผลงานสำคัญของ COP30 คือการออกแบบกรอบเจรจาใหม่ชื่อ Belém Political Package เป็น กรอบการเจรจาทางการเมืองชุดใหม่ที่ถูกออกแบบขึ้นในเวที COP30 เพื่อแก้ปัญหาหลักที่ทำให้การประชุมสภาพภูมิอากาศโลกในอดีตมักติดหล่ม เพราะมีการถกเถียงยืดเยื้อในนาทีสุดท้าย ขาดทิศทางชัดเจน จนไม่สามารถหาข้อยุติเกิดผลลัพธ์จริงได้ แบ่งประเด็นการเจรจาออกเป็น 4 แกนหลัก ได้แก่
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความโปร่งใส การค้า และการเงิน โดยมีการเผยแพร่เอกสารสรุป 5 หน้าแล้ว และคาดว่าจะมีร่างแรกออกมาขอความเห็นชอบในช่วงกลางสัปดาห์
นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของ COP ที่พยายามเปลี่ยนแผนการหารือจากเสียเวลาจากวังวนอยู่กับ “การถกเถียงในวินาทีสุดท้าย” ไปสู่การ “ทำงานเชิงระบบตั้งแต่ต้นเวที”
ไซมอน สตีล (Simon Stiell) เลขาธิการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติกล่าวเตือนว่า เมื่อประเด็นเหล่านี้ถูกผลักไปสู่เวลาพิเศษ (extra time) สุดท้ายทุกคนจะแพ้ เราไม่สามารถเสียเวลากับการชะลอเชิงยุทธวิธีหรือการขัดขวางได้”

หัวข้อที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ แผนที่เส้นทางการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแม้หลายประเทศเห็นพ้องว่าควรมีกรอบเชิงปฏิบัติ แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม ออกแบบแผนการลดการพึ่งพาฟอสซิลได้อย่างชัดเจน
เป้าหมายที่ถูกนำมาทบทวนจาก COP28 ได้แก่
แต่โลกยังไม่มีคำตอบว่าจะดำเนินการให้สำเร็จอย่างไรและใครต้องจ่ายราคา

ด้านการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศยังเป็นประเด็นที่ทำให้การประชุมเต็มไปด้วยความผิดหวัง แม้จะมีคำมั่นใหม่ เช่น เยอรมนีประกาศสมทบประมาณ 1 พันล้านยูโร สำหรับกองทุนป่าไม้ และมีคำมั่นสัญญารวมกว่า 133 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมกองทุนการปรับตัว (Adaptation Fund)
แต่ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าเป้าหมายถึงครึ่ง และ ถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ที่เงินทุนไม่ถึงตามที่ตั้งไว้
ขณะเดียวกันยังเกิดข้อถกเถียงเรื่องความเป็นธรรม
โดยแผนด้านเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ยังคง เต็มไปด้วยความผิดหวัง อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคำมั่นสัญญาใหม่ๆ เกี่ยวกับการนำเงินสมทบกองทุนจากประเทศพัฒนาแล้วได้ประกาศออกมา แต่ตัวเลขยังห่างไกลจากความต้องการแท้จริง ดังนี้
ในรายงานระบุว่า ส่วนใหญ่ประเทศที่ให้การสนับสนุน ยังเป็นกลุ่มผู้บริจาครายเก่าที่สนับสนุนมาโดยตลอด

ความเป็นจริงที่น่าผิดหวัง
1. การระดมทุนต่ำกว่าเป้าหมายอย่างมาก:
2.ความต้องการการปรับตัวเปลี่ยนผ่านจริงสูงกว่าเงินบริจาคมาก:
กองทุนอื่นยกเลิกการระดมทุน:
ข้อขัดแย้งเรื่องความเป็นธรรม
ขณะเดียวกัน ยังเกิดข้อถกเถียงเรื่องความเป็นธรรมในการจัดสรรเงินช่วยเหลือ:
กรณีโอมาน ประเทศร่ำรวย ที่ยังขอเงินหนุนจากกองทุน
กรณีของโอมาน (Oman) กลายเป็นหนึ่งในประเด็นถกเถียงที่ร้อนแรงที่สุดในเวที Green Climate Fund (GCF) ก่อนการประชุม COP30 โดยมีจุดเริ่มจากคำขอเงินสนับสนุนจำนวน 15 ล้านดอลลาร์ของโอมานสำหรับระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม คำขอนี้ถูกปฏิเสธโดย 5 ประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และเดนมาร์ก โดยให้เหตุผลว่าโอมานเป็นประเทศรายได้สูง มี GDP ต่อหัวเทียบเท่าหรือสูงกว่าประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปบางประเทศ จึงไม่ควรเป็นผู้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อช่วยประเทศยากจนและประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก
ประเด็นนี้ไม่ได้จบลงด้วยความเห็นพ้อง เพราะมี 18 ประเทศในคณะกรรมการ GCF รวมถึงประเทศพัฒนาแล้วบางส่วน สนับสนุนให้โอมานได้รับเงินช่วยเหลือ แต่ท้ายที่สุดกระบวนการลงคะแนนตัดสิน ซึ่งมีเกณฑ์การตัดสินที่เข้มงวด ทำให้ฝ่ายสนับสนุนไม่สามารถผลักดันให้โครงการผ่านได้ ตัวแทนจากฝรั่งเศสถึงขั้นระบุว่า “ไม่สามารถยอมรับได้” ที่เงินกองทุนจะสนับสนุนประเทศรายได้สูง เว้นเสียแต่เป็นกรณีกลุ่มประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงสูงต่อระดับน้ำทะเล (SIDS)
การตัดสินใจดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์อย่างหนัก โดยตัวแทนจากซาอุดีอาระเบียและกานาระบุว่าการปฏิเสธครั้งนี้คือ “การเลือกปฏิบัติ” และไม่สะท้อนหลักการความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ทูตปากีสถานกล่าวหาว่าเกณฑ์การตัดสินครั้งนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย “เหตุผลทางการเมือง” มากกว่าความต้องการด้านมนุษยธรรมและความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศ
กรณีโอมานจึงไม่ใช่เพียงข้อพิพาททางการเงิน แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเหลื่อมล้ำ ความไม่ไว้วางใจ และคำถามใหญ่ที่ยังไร้คำตอบว่า “ใครควรมีสิทธิ์ได้รับเงินทุนเพื่อรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ?” ในโลกที่ทุกประเทศต่างเผชิญความเสี่ยง แต่ทรัพยากรกลับมีจำกัด.
สิ่งเหล่านี้ เป็นข้อสะท้อน ประเด็นการเงินยังคงเป็นจุดอ่อนที่สุดของการเจรจา โดยประเทศร่ำรวยยังไม่ยอมให้เงินเพียงพอ และยังมีการถกเถียงว่าใครควรได้รับเงินช่วยเหลือบ้าง

มีหลายประเทศสมาชิกและกลุ่มพันธมิตรถือโอกาสใช้เวทีCOP30 วางแผนการประกาศความคืบหน้า เช่น เกาหลีใต้และบาห์เรนเข้าร่วม Powering Past Coal Alliance (PPCA) โดยเกาหลีใต้ประกาศปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน 40 จาก 62 โรง ภายในปี 2040
ในทางกลับกัน ประเทศสำคัญอย่างอินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และอาร์เจนตินา ยังไม่เปิดเผยเป้าหมาย NDC ใหม่ ทำให้เกิดความกังวลว่าการเดินหน้าระดับโลกจะสะดุดจากการไม่ร่วมมือของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่
แม้มีการลงนามใน “ข้อตกลงปฏิญญาร่วมลดการปล่อยมีเทนระดับโลก” (Global Methane Pledge) มากกว่า 100 ประเทศ แต่งานวิจัยระบุว่าการปล่อยมีเทนกลับ “จะเพิ่มขึ้น 5% ภายในปี 2030” หากไม่มีการดำเนินการเพิ่มเติม โดยแหล่งใหญ่ที่สุดคือ ภาคการเกษตร พลังงาน และขยะ นี่คือความจริงเชิงตัวเลขที่ทำให้คำว่า “COP of Truth” ยังคงเป็นเดอะแบกความหวังของมวลมนุษยชาติอย่างเจ็บปวด
การประชุมปีนี้เต็มไปด้วยโครงการใหม่กว่า 10 โครงการ อาทิ
1.Blue NDC Challenge
2.One Ocean Partnership ที่ตั้งเป้าระดมทุน 20 พันล้านดอลลาร์
3.โครงการ Mangrove และ Saltmarsh Breakthrough
4.โครงการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและเล็กกว่า 90 ล้านราย และกลไกสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านภูมิอากาศในประเทศกำลังพัฒนา
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า “การลงมือ” เริ่มไม่ใช่แค่หน้าที่ของรัฐบาลอีกต่อไป แต่เป็นความร่วมมือข้ามภาคส่วน

ปีนี้มีผู้เข้าร่วมจากชนพื้นเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีวันเฉพาะกิจสำหรับเด็กและเยาวชน และภาคประชาสังคมถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของเวทีหลัก ไม่ใช่เพียงพื้นที่ข้างเวทีเหมือนใน COP อื่น ๆ
ภาพของคนพื้นเมืองถือป้ายว่า
“ป่าไม่ได้ต้องการเงิน มนุษย์ต่างหากที่ต้องการอากาศ” คือประโยคที่สรุปความรู้สึกของปีนี้ได้อย่างชัดเจน
ท่ามกลางการเจรจาสภาพภูมิอากาศที่ดำเนินมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของมนุษยชาติ เสียงจากเวทีระหว่างประเทศเริ่มหนักแน่นขึ้นทุกวันว่า ยุคของการพูดสวย ทำสวย แต่ไม่ลงมือทำ กำลังจะหมดไป โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงที่รุนแรงเกินกว่าจะปล่อยให้ “คำประกาศ” มาแทนที่ “การปฏิบัติจริง” ได้อีกต่อไป
ในวันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสัปดาห์ที่สองของการเจรจา ไซมอน สตีล (Simon Stiell) เลขาธิการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่งในเวทีสากล เขาย้ำว่าผู้นำทั่วโลกเริ่มเห็นอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่กำลังเดิมพันอยู่ ทั้งความปลอดภัยของผู้คน เศรษฐกิจโลก และเสถียรภาพของระบบธรรมชาติที่ทุกประเทศพึ่งพา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศ” ต้องยังแข็งแกร่ง แม้โลกจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งและแบ่งแยกมากขึ้นก็ตาม
สตีลเตือนอย่างไม่อ้อมค้อมว่าโลกไม่เหลือเวลาสำหรับ “การชะลอเชิงยุทธวิธี” หรือ “การตั้งกำแพงขวางการเจรจา” อีกแล้ว เพราะทุกวินาทีที่เสียไปคือการผลักมนุษยชาติให้เข้าใกล้จุดที่แก้ไม่กลับมากขึ้น การทูตเชิงแสดง ที่เน้นภาพลักษณ์มากกว่าผลลัพธ์ ต้องสิ้นสุดลง และถูกแทนที่ด้วยการลงมือทำอย่างจริงจังในทุกระดับ
ท้ายที่สุด เขาทิ้งข้อความเตือนที่สะเทือนใจทุกฝ่ายในห้องเจรจา ว่าเมื่อเราปล่อยให้เรื่องสำคัญเหล่านี้ถูกถ่วงเวลาเข้าสู่ “ช่วงต่อเวลา” ของเกม ทุกคนล้วนเป็นฝ่ายแพ้ ไม่มีผู้ชนะในโลกที่ร้อนขึ้นเกินรับมือ และไม่มีเศรษฐกิจใดเติบโตได้บนดาวเคราะห์ที่กำลังถูกทำลายตัวเอง
“ไม่มีเวลาให้เสียกับการชะลอเชิงยุทธวิธีหรือการขัดขวางเวลาสำหรับการทูตเชิงแสดงได้จบลงแล้ว และเมื่อประเด็นเหล่านี้ถูกผลักลึกเข้าไปในเวลาพิเศษ ทุกคนจะแพ้” Simon Stiell, UN Climate Chief
นี้มีความก้าวหน้าสำคัญในด้านการมีส่วนร่วม การริเริ่มนโยบายใหม่ และโครงสร้างการเจรจาที่ชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องเงินทุน ความเร่งด่วน และท่าทีของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ยังไม่เปิดเผยพันธสัญญาชัดเจน
สิ่งที่ต้องจับตามองต่อจากนี้คือร่างสุดท้ายของ Belém Political Package และผลการเจรจาช่วงสุดท้ายก่อนปิดประชุมในวันที่ 21 พฤศจิกายน
ท้ายที่สุด COP30 ไม่ได้ตอบคำถามว่า “โลกมีความหวังหรือไม่” แต่ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า เรายังเหลือเวลาให้ลังเลอีกหรือ?
https://news.un.org/en/story/2025/11/1166390