
ทลายกรอบการลงทุนไทย สู่โอกาสไร้พรมแดนปี 2026 จากคลื่นลมเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและปัจจัยท้าทายภายในประเทศที่รุมเร้า นักลงทุนไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งสำคัญ ระหว่างการยึดติดกับความคุ้นเคยเดิมๆ หรือการก้าวออกไปแสวงหาโอกาสใหม่ในน่านน้ำที่กว้างใหญ่กว่า บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจมุมมองเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับแนวหน้า ที่จะมาไขคำตอบว่าทำไมการลงทุนในต่างประเทศจึงไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่คือ “ทางรอด” ที่จำเป็นสำหรับพอร์ตการลงทุนที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2026 พร้อมเจาะลึก 7 ธีมการลงทุนเปลี่ยนโลก และกลยุทธ์การจัดทัพลงทุนที่จะช่วยให้คุณก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม สู่การเป็น Global Investor อย่างเต็มภาคภูมิ

จากงาน Bettertrade 2025 คุณกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทหลักทรัพย์ CGS International (ประเทศไทย) ได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ท่ามกลางความท้าทายของตลาดหุ้นไทยที่ยังคงเผชิญปัญหาโครงสร้างหลายประการ การลงทุนหุ้นนอกไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่กลายเป็น “ทางรอด” สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเห็นพอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน
ทำไมหุ้นนอกคือทางรอด ไม่ใช่แค่ทางเลือก
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนหลายท่านผิดหวังกับตลาดหุ้นไทย คุณกรรณ์ชี้ให้เห็นว่าตลาดไทยเผชิญปัญหาพื้นฐานที่จำกัดการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง ภาระหนี้สาธารณะที่สูง การเติบโตเศรษฐกิจที่ช้า และสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้หุ้นไทยอยู่กับที่ ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ ยังคงมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง
ข้อดีสำคัญของการลงทุนหุ้นนอกคือการหนีกับดัก Value Trap ที่พบบ่อยในตลาดไทย หุ้นไทยหลายตัวอาจจ่ายปันผลดี แต่ราคาหุ้นกลับลงเรื่อยๆ ในขณะที่หุ้นสหรัฐฯ อย่าง Apple หรือหุ้นในกองทุน ETF ที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ราคาหุ้นยังคงเติบโตไปด้วย นอกจากนี้ หุ้นต่างประเทศยังจ่ายปันผลบ่อยกว่า มีบางตัวจ่ายทุกเดือน ไม่ใช่แค่ปีละ 2 ครั้งเหมือนหุ้นไทย
ตารางเปรียบเทียบ: หุ้นไทย vs หุ้นต่างประเทศ
| หัวข้อ | หุ้นไทย | หุ้นต่างประเทศ |
| โอกาสเติบโต | จำกัดจากปัญหาโครงสร้าง สังคมสูงวัย หนี้สูง | สูง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และเทคโนโลยี |
| การจ่ายปันผล | ปีละ 1-2 ครั้ง บางตัวติด Value Trap | ถี่กว่า (ทุกเดือน/ไตรมาส) + ราคาเติบโต |
| ความเสี่ยง | การเมืองไม่แน่นอน เศรษฐกิจช้า | กระจายได้หลายตลาด ลด Home Bias |
| ธีมการลงทุน | จำกัด ไม่มี AI, เทคล้ำ | ครบทุกธีม AI, Data Center, Crypto |
| สภาพคล่อง | สูงในหุ้นใหญ่ | สูงมาก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ |
| ความหลากหลาย | จำกัดในกลุ่มธุรกิจดั้งเดิม | สูงมาก ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม |
| ตลาด | จุดแข็ง | ดัชนีสำคัญ | ข้อควรระวัง | คำแนะนำ |
| สหรัฐอเมริกา | ความหลากหลายสินทรัพย์ (หุ้น ทองคำ BTC พันธบัตร) | S&P 500 (ใหญ่), Russell 2000 (เล็ก), Nasdaq (เทค) | ราคาปรับขึ้นมามาก รอปรับฐานก่อนเข้า | นักลงทุนทุกระดับ (แกนหลักพอร์ต) |
| จีน | หุ้นเทคราคาต่ำกว่าสหรัฐฯ รัฐสนับสนุนเต็มที่ | หุ้นเทคโนโลยีจีน (Catch-up Play) | ชิปยังไม่เทียบสหรัฐฯ แต่กำลังตามทัน | นักลงทุนมองหาโอกาส Value Play |
| ตลาดเกิดใหม่ | อัตราเติบโต GDP สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว | ETF ตลาดเกิดใหม่ (เวียดนาม เกาหลี อาเซียน) | ขึ้นอยู่กับทิศทางค่าเงินดอลลาร์ | นักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาลึก |
สหรัฐอเมริกา : ผู้นำตลาดที่ยังคงแข็งแกร่ง ประการแรก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงรักษาตำแหน่งศูนย์กลางการลงทุนที่น่าสนใจที่สุด ด้วยความหลากหลายของสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์นักลงทุนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ บิทคอยน์ หรือตราสารหนี้ นอกจากนี้ ตลาดสหรัฐฯ ยังมีดัชนีสำคัญให้เลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ อาทิ S&P 500 สำหรับหุ้นขนาดใหญ่ Russell 2000 สำหรับหุ้นขนาดเล็ก และ Nasdaq สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของตลาดโลกที่ยังคงให้ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากปัจจัยหนุนด้านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแนวโน้มการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
อย่างไรก็ตาม คุณ คุณกรรณ์เตือนว่า เนื่องจากราคาสินทรัพย์หลายประเภทได้ปรับตัวสูงขึ้นมามากแล้ว นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการเข้าซื้อ โดยการปรับฐานเพียงเล็กน้อยที่ระดับ 2 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ อาจยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมาก
จีน : โอกาสจากหุ้นเทคโนโลยีในฐานะผู้ตาม (Catch-up Play) ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ถือเป็นโอกาสการลงทุนแบบ “Catch-up Play” ที่น่าจับตามอง จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ระดับราคาหุ้นที่ยังคงต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีในฝั่งสหรัฐฯ ประกอบกับการได้รับการสนับสนุนทางนโยบายจากภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่ที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ถึงแม้ว่าศักยภาพด้านการประมวลผลและชิปเซ็ตของจีนอาจจะยังไม่เทียบเท่าสหรัฐฯ ในปัจจุบัน แต่ช่องว่างดังกล่าวก็กำลังลดลงเรื่อยๆ ส่งผลให้ตลาดมองว่าเมื่อหุ้นเทคสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น หุ้นเทคจีนก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวตามขึ้นไปด้วยในที่สุด
ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets): จับตาทิศทางค่าเงินดอลลาร์ สำหรับตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม เกาหลีใต้ และภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยชี้วัดที่สำคัญที่สุดคือทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นายคุณกรรณ์แนะนำให้นักลงทุนติดตามกระแสเงินทุนอย่างใกล้ชิด โดยตามสถิติแล้ว หากค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่เนื่องจากจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามา
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่อาจไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลเชิงลึกของแต่ละประเทศ การเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF) ที่กระจายการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยบริหารความเสี่ยงและเพิ่มความสะดวกในการลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังได้คาดการณ์ว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในปี 2026 อีกด้วย
| ธีมการลงทุน | จุดเด่น | ระดับราคาสำคัญ | ความเหมาะสม |
| 1. AI และ 7 นางฟ้า | บริษัทสร้างกำไรได้จริง แตกต่างจากยุค Dot-com | รอปรับฐาน 2-5% ก่อนเข้า | นักลงทุนที่มีสถานะแล้วรอเพิ่มทุน |
| 2. Data Center และน้ำ | รองรับ AI ต้องใช้น้ำและไฟฟ้าจำนวนมาก | ติดตามความต้องการ Data Center | นักลงทุนระยะยาวในกลุ่มเทค |
| 3. พลังงานนิวเคลียร์ | พลังงานสะอาดเสถียร รองรับ AI และ Data Center | ปรับตัวขึ้นโดดเด่นช่วงที่ผ่านมา | นักลงทุนที่เชื่อพลังงานสะอาด |
| 4. Bitcoin Mining สะอาด | ขุด Bitcoin ด้วยพลังงานหมุนเวียน ตัวอย่าง: IREN | เติบโตตามกระแส Crypto + สิ่งแวดล้อม | นักลงทุน Crypto ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม |
| 5. พลังงานสะอาด | แนวโน้มดีกว่า EV ที่เจอสงครามราคา | เน้นโรงไฟฟ้ามากกว่ายานยนต์ | นักลงทุนที่มองหาพลังงานทางเลือก |
| 6. ทองคำ | ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อสะสมต่อเนื่อง | แนวรับ 3,900-4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ | ทุกพอร์ตควรมี (กระจายความเสี่ยง) |
| 7. บิทคอยน์ | รับการสนับสนุนจากทรัมป์ ทดสอบ 100,000 ดอลลาร์ | ทดสอบแนวต้าน 100,000 ดอลลาร์ | นักลงทุนที่รับความผันผวนสูงได้ |
จากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การเลือกลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เกาะกระแสการเปลี่ยนแปลงแห่งอนาคตถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน คุณกรรณ์ ได้วิเคราะห์เจาะลึกถึง 7 ธีมหลักที่กำลังเป็นที่จับตามอง โดยเน้นย้ำถึงปัจจัยพื้นฐานและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ดังนี้
ธีมการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ยังคงเป็นกระแสหลักที่น่าสนใจที่สุดในขณะนี้ โดยคุณกรรณ์ชี้ให้เห็นข้อแตกต่างสำคัญเมื่อเทียบกับวิกฤตฟองสบู่ Dot-com ในอดีต กล่าวคือ บริษัทเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถสร้างผลกำไรได้จริงในระดับหนึ่งแล้ว แม้ว่าระดับกำไรอาจจะยังไม่สูงเท่าที่ตลาดคาดหวังไว้ทั้งหมด แต่ก็มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่ายุคก่อนที่หลายบริษัทไม่มีรายได้เลย
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นกลุ่ม “7 นางฟ้า” (Magnificent 7) ควรใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุน โดยมองว่าการปรับฐานของราคาในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นการปรับฐานเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง (Healthy Correction) ซึ่งนักลงทุนที่มีสถานะการลงทุนอยู่แล้ว อาจรอจังหวะให้ราคามีการปรับตัวลงลึกกว่านี้ก่อนพิจารณาเพิ่มน้ำหนักการลงทุน
สืบเนื่องจากการเติบโตของ AI นำไปสู่ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญคือ ศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center ซึ่งเป็นธีมที่เชื่อมโยงกันโดยตรง ปัจจัยที่น่าสนใจคือ Data Center เหล่านี้จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรน้ำและไฟฟ้าปริมาณมหาศาลเพื่อพัฒนาระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ “ธีมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับน้ำ” กลายเป็นโอกาสใหม่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มการขาดแคลนทรัพยากรน้ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ความต้องการพลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาลของระบบ AI และ Data Center ได้ปลุกกระแสความสนใจใน “พลังงานนิวเคลียร์” ให้กลับมาอีกครั้ง ในฐานะพลังงานสะอาดที่มีเสถียรภาพ สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูง รองรับความต้องการของภาคเทคโนโลยีได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา
อีกหนึ่งธีมที่สอดคล้องกับกระแสโลกคือธุรกิจเหมืองขุดสินทรัพย์ดิจิทัลที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด คุณกรรณ์ได้ยกตัวอย่างหุ้น IREN ซึ่งดำเนินธุรกิจ Bitcoin Mining ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น ธีมนี้ถือเป็นการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและกระแสความยั่งยืนด้านพลังงาน ซึ่งสอดรับกับทิศทางนโยบายสนับสนุนจากผู้นำสหรัฐฯ
ในมุมมองของคุณกรรณ์ ธีมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่เคยร้อนแรงในอดีต เริ่มมีความน่าสนใจลดน้อยลงในปัจจุบัน เนื่องจากสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจนนำไปสู่สงครามราคา ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายได้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตรากำไร ในทางตรงกันข้าม ธีมพลังงานสะอาดในภาพรวม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า เช่น พลังงานนิวเคลียร์ กลับมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าและน่าสนใจมากกว่าในระยะยาว
ทองคำยังคงสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่จำเป็นต้องมีติดพอร์ต โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการที่ธนาคารกลางของหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนและไทย ทยอยเข้าซื้อสะสมอย่างต่อเนื่องเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการถือครองเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ คุณกรรณ์ประเมินว่าระดับราคาที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญ หากราคามีการย่อตัวลงมาที่บริเวณ 3,900 ดอลลาร์ จะเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าสะสมเพื่อการออมระยะยาว เนื่องจากทองคำมักเคลื่อนไหวสวนทางกับตลาดหุ้น ช่วยสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนได้เป็นอย่างดี
บิตคอยน์กำลังทดสอบระดับราคาสำคัญทางจิตวิทยาที่ 100,000 ดอลลาร์ ปัจจัยบวกสำคัญนอกเหนือจากพื้นฐานคือการได้รับการสนับสนุนที่ชัดเจนจากบุคคลสำคัญทางการเมืองสหรัฐฯ อย่างครอบครัวทรัมป์ โดยคุณกรรณ์ระบุว่า เอริก ทรัมป์ (Eric Trump) ได้แสดงความเชื่อมั่นด้วยการลงทุนในบิตคอยน์อย่างเต็มตัว นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่าติดตามเกี่ยวกับแนวคิดการนำ Stablecoin มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็นับเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนถึงการยอมรับในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากขึ้นจากระดับนโยบาย
ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับความคุ้นเคยในการลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งให้ผลตอบแทนที่จูงใจในระดับ 4-5% ทำให้ตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาวมักจะถูกละเลย อย่างไรก็ตาม คุณกรรณ์ชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญทางนโยบายการเงินที่กำลังเกิดขึ้น
ทำไมต้องเป็น “ตราสารหนี้ระยะยาว” ในเวลานี้?
ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้กดดันราคาของตราสารหนี้ระยะยาวมาโดยตลอด แม้ปัจจุบัน Fed จะเริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแล้ว แต่ราคาก็ยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นเท่าที่ควรจะเป็น จุดพลิกผันที่แท้จริงจึงอยู่ที่การยุติมาตรการ Quantitative Tightening (QT) หรือการหยุดดึงสภาพคล่องออกจากระบบเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจัยนี้เองที่จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ตราสารหนี้ระยะยาวกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้งในเชิงมูลค่า
อย่าลืมกระจายความเสี่ยง
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการคว้าโอกาสจากสินทรัพย์ม้ามืดตัวนี้ การเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF) ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นสูง โดยปัจจุบันมี ETF ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวคุณภาพดีให้เลือกหลากหลายจากบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก อาทิ Vanguard และ iShares จากค่าย BlackRock
ดังนั้น การจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนเข้าสู่ตราสารหนี้ระยะยาว ไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาเมื่อทิศทางดอกเบี้ยเปลี่ยนเป็นขาลงเต็มตัว แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้อย่างดีเยี่ยม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปี 2026 ที่กำลังจะมาถึง

สำหรับนักลงทุนที่กำลังยึดติดกับตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนอีกต่อไป คุณกรรณ์ ได้ให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับ “กลยุทธ์การลงทุนแห่งอนาคต” ที่นักลงทุนไทยควรนำมาปรับใช้เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตลาดในประเทศ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
สำหรับนักลงทุนที่อาจไม่มีเวลาติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด หรือยังขาดความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์หุ้นรายตัว การเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี หรือ ETF (Exchange Traded Fund) ถือเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการพยายามเลือกหุ้นด้วยตนเอง คุณกรรณ์ อธิบายว่า ข้อได้เปรียบสำคัญของ ETF คือการกระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติผ่านตะกร้าหุ้นจำนวนมาก และมีกลไกการปรับพอร์ตที่จะคัดเลือกหุ้นที่มีผลประกอบการด้อยกว่าตลาด (Underperform) ออกไปตามรอบระยะเวลา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนี S&P 500 ซึ่งครอบคลุมบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่สุด 500 อันดับแรกของสหรัฐฯ โดยในปัจจุบัน ดัชนีนี้มีสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ หรือ “7 นางฟ้า” (Magnificent 7) อยู่ที่ประมาณ 30๔ ทำให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสการเติบโตไปกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ในขณะเดียวกันก็ยังมีการกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นบริษัทอื่นอีกหลายร้อยตัวในคราวเดียว
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) แบบดั้งเดิมที่เน้นสัดส่วนหุ้น 60๔ และพันธบัตร 40% อาจไม่สามารถตอบโจทย์การลงทุนในยุคปัจจุบันได้อีกต่อไป คุณกรรณ์จึงได้นำเสนอโมเดลทางเลือกใหม่ที่เน้นการกระจายความเสี่ยงอย่างสมดุล หรือโมเดล “25-25-25-25”
โมเดลนี้ประกอบด้วยการจัดสรรเงินลงทุนในสัดส่วนที่เท่ากันอย่างละ 25% ใน 4 สินทรัพย์หลัก ได้แก่ หุ้น, ตราสารหนี้, ทองคำ และเงินสดหรือสินทรัพย์ทางเลือกใหม่อย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) เป้าหมายสำคัญคือการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีเสถียรภาพในทุกสภาวะตลาด เนื่องจากสินทรัพย์แต่ละประเภทมักมีทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การจัดสรรสินทรัพย์ถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งนักลงทุนแต่ละท่านควรพิจารณาปรับเปลี่ยนสัดส่วนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่สำคัญของการลงทุนในตลาดต่างประเทศ คือศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดจากเงินปันผล โดยคุณกรรณ์ชี้ให้เห็นว่า หุ้นสหรัฐฯ และกองทุน ETF หลายแห่งมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่มีความถี่สูงกว่าตลาดหุ้นไทย เช่น การจ่ายทุกเดือนหรือทุกไตรมาส และบางกองทุนสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลได้สูงถึงร้อยละ 10 หรือมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นปันผลคุณภาพสูงในต่างประเทศมักมีลักษณะการเติบโตของราคาควบคู่ไปกับการจ่ายปันผล (Dividend Growth Stock) อาทิ Apple, PepsiCo, Coca-Cola หรือ Philip Morris ซึ่งแตกต่างจากหุ้นไทยบางกลุ่มที่อาจเข้าข่าย “กับดักมูลค่า” (Value Trap) กล่าวคือ แม้จะมีอัตราการจ่ายปันผลสูง แต่ราคาหุ้นกลับมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ในด้านการบริหารจัดการสำหรับการลงทุนระยะยาว คุณกรรณ์แนะนำให้คงเงินลงทุนไว้ในบัญชีต่างประเทศ เพื่อให้ผลตอบแทนสามารถทบต้นต่อไปได้โดยไม่ต้องสะดุดจากการนำเงินกลับประเทศ ซึ่งจะต้องนำมาคำนวณรวมเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีตามฐานภาษีบุคคลธรรมดาในปีนั้นๆ แม้ประเทศไทยจะมีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับสหรัฐฯ ที่ช่วยบรรเทาภาระภาษีได้ในระดับหนึ่ง แต่การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยรักษาผลตอบแทนสุทธิได้มากกว่า
ในขณะเดียวกัน สำหรับนักลงทุนที่เน้นการเก็งกำไรระยะสั้น การเลือกใช้ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DR (Depositary Receipt) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากสามารถซื้อขายได้ด้วยเงินบาท ช่วยลดความซับซ้อนในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและประเด็นทางภาษี
ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญที่นักลงทุนไทยต้องตระหนักคือการลดอคติที่เน้นลงทุนเฉพาะในประเทศ (Home Bias) คุณกรรณ์ย้ำว่า เราควรเปิดใจมองหาโอกาสในตลาดโลกที่มีศักยภาพการเติบโตสูงกว่า แม้ดัชนีหุ้นไทยอาจยังไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนจากระดับปัจจุบัน แต่ตลาดหุ้นหลักอย่างสหรัฐฯ ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับการเติบโตในอนาคต การกระจายเงินลงทุนออกไปต่างประเทศจึงเป็นทั้งการแสวงหาโอกาสใหม่และการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพที่สุดในเวลานี้

จากการประเมินทิศทางและกลยุทธ์การลงทุนข้างต้น นำไปสู่บทสรุปเชิงวิเคราะห์ถึงความเป็นจริงที่นักลงทุนไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในสภาวะที่โครงสร้างเศรษฐกิจและตลาดทุนโลกกำลังจัดระเบียบใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวทางการบริหารความมั่งคั่งในระยะยาว ดังนี้
“กับดักความคุ้นเคย” คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด
ในอดีตนักลงทุนไทยอาจสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้จากการลงทุนเพียงแค่ในประเทศ แต่ปัจจุบันข้อมูลเชิงประจักษ์ชี้ชัดว่า ปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ สังคมผู้สูงอายุและหนี้สาธารณะ กำลังกดดันศักยภาพการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทยในระยะยาว การยึดติดกับ “Home Bias” หรือการลงทุนเฉพาะในตลาดที่คุ้นเคย จึงไม่ใช่ Safe Zone อีกต่อไป แต่กลับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงจากการเสียโอกาส (Opportunity Cost) ในการสร้างผลตอบแทนจากกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่มีในตลาดหุ้นไทย เช่น ธีม AI หรือเทคโนโลยีขั้นสูง
ความซับซ้อนในการบริหารจัดการ คือ ความท้าทายใหม่
แม้โอกาสในหุ้นต่างประเทศจะเปิดกว้าง แต่ความเป็นจริงที่นักลงทุนต้องเผชิญ คือ ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเด็นด้านภาษีจากการลงทุนในต่างประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนสุทธิ รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจกัดกร่อนกำไรหากขาดการบริหารความเสี่ยงที่ดี ดังนั้น การมีความรู้ความเข้าใจในเครื่องมือทางการเงิน เช่น DR หรือ ETF ที่จดทะเบียนในไทย จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความซับซ้อนเหล่านี้สำหรับนักลงทุนมือใหม่
โดยสรุป แนวโน้มในปี 2026 บ่งชี้ว่าเส้นแบ่งระหว่างการลงทุนในประเทศและต่างประเทศกำลังจางหายไป การปรับตัวสู่การเป็น Global Investor ไม่ใช่ทางเลือกที่หรูหรา แต่เป็นกระบวนการที่จำเป็นเพื่อความอยู่รอดทางการเงิน นักลงทุนที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม และผสมผสานสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลกตามโมเดลที่เหมาะสม ย่อมมีความได้เปรียบในการสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุนได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
บทความนี้รวบรวมจากการสัมมนาและแหล่งข้อมูลสาธารณะเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเท่านั้น มิใช่คำแนะนำการลงทุนตามกฎหมาย ข้อมูลและความเห็นอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ผู้เขียนไม่รับรองความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลนี้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ใช้วิจารณญาณของตนเอง และปรึกษาที่ปรึกษาการเงินที่มีใบอนุญาตก่อนตัดสินใจลงทุน”
ตารางสรุป กลยุทธ์การลงทุนรับปี 2026
| หัวข้อ | หุ้นไทย | หุ้นต่างประเทศ |
| โอกาสเติบโต | จำกัดจากปัญหาโครงสร้าง สังคมสูงวัย หนี้สูง | สูง โดยเฉพาะสหรัฐฯ และเทคโนโลยี |
| การจ่ายปันผล | ปีละ 1-2 ครั้ง บางตัวติด Value Trap | ถี่กว่า (ทุกเดือน/ไตรมาส) + ราคาเติบโต |
| ความเสี่ยง | การเมืองไม่แน่นอน เศรษฐกิจช้า | กระจายได้หลายตลาด ลด Home Bias |
| ธีมการลงทุน | จำกัด ไม่มี AI, เทคล้ำ | ครบทุกธีม AI, Data Center, Crypto |
| สภาพคล่อง | สูงในหุ้นใหญ่ | สูงมาก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ |
| ความหลากหลาย | จำกัดในกลุ่มธุรกิจดั้งเดิม | สูงมาก ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม |
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “Community สังคมแห่งการลงทุน” เพื่อ เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยน ไอเดียการลงทุน มาร่วมสร้างเครือข่ายนักลงทุนให้เติบโตไปด้วยกัน เข้าร่วมกับเรา: efinancethaiconnect