
ข้อมูลจาก SETSMART ณ 11 พ.ย.2568 พบว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) อยู่ที่ 224.89 จุด ลดลง 86.93 จุด จากต้นปี (YTD) หรือ -27.88% ซึ่งระดับดัชนีฯ ที่ต่ำกว่านี้ต้องย้อนไปถึงช่วงโควิดระบาดระรอกแรกเมื่อ มี.ค.-เม.ย.63
ขณะที่พบว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของปีนี้เหลือเพียง 584.01 ล้านบาทเท่านั้น ต่ำสุดรอบ 15 ปี ซึ่งมูลค่าการซื้อขายที่น้อยกว่านี้ต้องย้อนไปถึงปี 53 ที่ ณ สิ้นปี เฉลี่ยอยู่ที่ 396.96 ล้านบาทต่อวัน
ด้านราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai ที่ยังซื้อขายอยู่ ณ 11 พ.ย.68 รวม 223 บริษัท พบว่ามีถึง 178 บริษัทที่ราคาตั้งแต่ต้นปีติดลบ คิดเป็น 80% ของหุ้นทั้งหมดใน mai
ทั้งนี้มีถึง 93 บริษัทที่ราคาปรับลดลงมากกว่า 30% จากต้นปี และ 33 บริษัทราคาปรับลดลงมากกว่า 50% จากต้นปี สูงสุด -88% โดยส่วนใหญ่มีสภาพคล่องการซื้อขายเบาบางลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกันพบว่าล่าสุด บริษัทใน mai มีหุ้นที่ราคาต่ำกว่า 1 บาท ถึง 100 บริษัท ซึ่งมี 9 บริษัทที่ซื้่อขายเพียง 0.01-0.09 บาท
ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ล่าสุดเหลือเพียง 2.22 แสนล้านบาท ต่ำสุดรอบ 6 ปี จากเคยสูงสุดระดับ 5.35 แสนล้านบาทเมื่อปี 65 โดยต่ำกว่า 2.22 แสนล้านบาทต้องย้อนไปปี 62 ที่หุ้นใน mai มีมาร์เก็คแคปรวม 2.15 แสนล้านบาท
"ประกิต สิริวัฒนเกตุ" กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ ระบุว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้ค่อนข้างซบเซา ปริมาณและมูลค่าการซื้อขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญในรอบหลายปีทั้ง SET และ mai
แม้จำนวนนักลงทุนปัจจุบันเพิ่มเป็น 3.6 ล้านราย จาก 10 ปีก่อน ที่ราว 1.5 ล้านราย แต่วอลุ่มการซื้อขายกลับไม่เพิ่มขึ้น เพราะนักลงทุนจำนวนมากติดดอยและขาดทุน ส่งผลให้เลิกซื้อขายไปไม่น้อย เพราะหมดหวังกับตลาดหุ้น
"ช่วงหลังปี 63 การเพิ่มขึ้นของบัญชีหุ้นในประเทศไทยเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะหลายคนเชื่อในสตอรี่การเติบโตแบบ WFH ของหลาย ๆ บริษัท ที่คาดกันว่าต่อไปคนจะใช้สิ่งนั้นสิ่งนี้จากเทรนด์ WFH ทำให้นักลงทุนหลงเข้าไปซื้อหุ้น แต่เมื่อความจริงปรากฎว่า ผลการดำเนินงานไม่ได้เป็นดั่งคำโฆษณา ราคาหุ้นก็ตกลงมา ทำให้มีคนขาดทุนและติดดอยจำนวนมาก และท้อแท้จนเลิกเทรดไป"
การแก้ปัญหาและการฟื้นความเชื่อมั่นคืนมาของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ ต้องจัดการหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีออกไป และเลือกหุ้นเข้าสู่ตลาดโดยมีคุณภาพที่ดีจริง ๆ เพื่อคัดสินค้าที่มีคุณภาพให้นักลงทุนได้ซื้อกันจริง ๆ อีกทั้ง ความโปร่งใส อย่างการนำหุ้นไปวางมาร์จิ้นของบรรดาผู้บริหารจดทะเบียนควรมีการรายงานข้อมูลดังกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วทันท่วงที เพื่อเป็นการปกป้องนักลงทุนรายย่อย จึงจะทำให้นักลงทุนมองว่ามีความเป็นธรรมมากขึ้นในการซื้อขาย หาไม่แล้วนักลงทุนก็ยังคงหันไปลงทุนที่อื่น เช่น ตลาดต่างประเทศ หรือ DR เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ด้าน "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไอร่า เพิ่มเติมว่า นอกจากภาวะตลาดและเศรษฐกิจไทยโดยรวมไม่ดี หุ้นใน mai ส่วนใหญ่ยังเป็นธุรกิจแบบเก่า ไม่มีความน่าสนใจดึงดูดนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะเดียวกันพบว่า บริษัทใน mai ผลประกอบการไม่ค่อยดี คาดว่ามีถึงกว่า 30% ขาดทุนต่อเนื่อง, ไม่สามารถส่งงบการเงินได้หรืองบการเงินมีปัญหาต้องแก้ไข, อยู่ในข่ายอาจะโดนเพิกถอนออกจากตลาด รวมถึงติดเครื่องหมาย "NC" เหล่านี้เป็นปัจจัยลดทอนความเชื่อมั่นต่อภาพรวมของ mai
ส่วนหุ้นใหม่ที่ IPO เข้ามาก็มักจะดีแค่ในช่วงแรก เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะการแต่งตัวให้เข้าตามเกณฑ์ของตลาดฯ ที่ต้องมีกำไรเติบโต 3 ปีต่อเนื่อง แต่หลายบริษัทยังไม่พร้อมขนาดนั้น หลังเข้ามาแล้วสักระยะหนึ่ง ความสามารถในการทำกำไรก็จะกลับลงสู่ระดับปกติ คือ ไม่ได้เติบโตอย่างร้อนแรงเหมือนก่อนเข้าตลาดหุ้น
"กรรณ์ หทัยศรัทธา" หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ (Vice President) สายงานวิจัย (ลูกค้ารายย่อย) บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า อีกหนึ่งประเด็นที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการซื้อขายหุ้นใน mai คือ ธรรมาภิบาลของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร สะท้อนจากข่าวผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง ถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษ ทั้งใช้ข้อมูภายในซื้อขายหุ้นและปั่นหุ้น และที่พบส่วนมากมักเกิดกับบริษัทขนาดเล็กใน mai
นอกจากนี้หุ้น IPO ที่เข้ามาเติม ก็ยังไม่มีธุรกิจที่น่าสนใจหรือเกาะเทรนด์กับกระแสโลก ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเดิม ๆ ที่มีอยู่แล้ว แถมการตั้งราคายังสูงเกินเหมาะสม พอเข้ามาราคาก็ปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนไม่อยากเข้าไปซื้่อขาย รวมไปถึงปัญหาผลประกอบการที่ส่วนใหญ่ดีแค่ช่วงแรกที่เข้าตลาดฯ แต่ไม่สามารถยืนระยะได้