
"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจกลยุทธ์การลงทุนเดือน พ.ย.นี้ จากโบรกเกอร์ทั้งหมด 6 แห่ง ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ประเมินเหมือนกันว่า ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) เดือนดังกล่าว จะเคลื่อนไหวแบบ Sideways โดยมีกรอบแนวรับ - แนวต้าน ดังนี้
โบรกฯคาด SET พ.ย. เคลื่อนไหวกรอบ 1,250 – 1,365 จุด | |
บล. | คาดกรอบดัชนี |
เคจีไอ | 1,284 – 1,365 |
ฟินันเซียฯ | 1,270 - 1,360 |
ทิสโก้ | 1,250 - 1,360 |
ดาโอ | 1,270 - 1,350 |
ลิเบอเรเตอร์ | 1,260 - 1,350 |
ทรีนีตี้ | 1,260 - 1,350 |
"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า ปัจจัยหลักที่นักลงทุนควรติดตามในเดือนนี้ คือ การรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงครึ่งแรกของเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งตลาดไม่ได้คาดหวังมากนัก ดังนั้นมีโอกาสที่จะออกมาดีกว่าคาดได้เช่นกัน
เช่นเดียวกับ บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ที่มองว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในเดือนนี้ คือ การรายงานงบการเงินไตรมาส 3/68 ของบริษัทจดทะเบียน ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 14 พ.ย.นี้ ซึ่งในช่วงของการประกาศงบฯดังกล่าว จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาหุ้นรายตัวตามผลกำไรที่ออกมา
ด้าน "ณัฐชาต เมฆมาสิน" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ให้ข้อมูลอีกมุมว่า ปัจจัยกดดันที่อาจเกิดขึ้นในเดือนนี้มองไปยังผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของบริษัทจดทะเบียนในประเทศ ซึ่งอาจออกมามีทิศทางที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic play และกลุ่ม Tourism อาทิ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, อสังหาฯ และโรงแรม
อย่างไรก็ตาม มองเป็นโอกาสในการเข้าซื้อที่น่าสนใจ เนื่องจากคาดว่าจะเป็นข่าวร้ายสุดท้ายสำหรับหุ้นกลุ่มเหล่านี้ในระยะสั้นแล้ว เชื่อว่าด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีสัญญาณดีขึ้น ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น และการเข้าสู่ High season ของฤดูกาลท่องเที่ยว จะทำให้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเหล่านี้ กลับมาฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ได้ไม่ยาก
ส่วน บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนช่วงไตรมาส 3/68 จะลดลง 33% จากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาลที่เป็นโลว์ซีซั่น และเศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลงจากไตรมาสก่อน
แต่คาดว่า กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตจากปีก่อนได้ราว 25% เพราะฐานต่ำของกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่นที่ขาดทุน หากกำไรออกมาตามคาด จะทำให้กำไรรวม 9 เดือน คิดเป็น 74% ของประมาณการทั้งปี ขณะที่ไตรมาส 4/68 มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น จึงทำให้ดาวน์ไซด์ของประมาณการกำไรปีนี้จำกัดแล้ว
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวต่อว่า อีกปัจจัยที่ต้องติดตามในเดือนนี้ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวระยะสั้น, มาตรการลดภาระหนี้ของประชาชน และเพิ่มสภาพคล่องให้กลุ่ม SME รวมถึงการปลดล็อคข้อจำกัดของการลงทุน คาดว่าจะเริ่มเห็นผลบวกในเดือน พ.ย.นี้ เป็นต้นไป
สอดคล้องกับ "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" ที่ประเมินว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มใช้ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส, เที่ยวดีมีคืน ซึ่งคาดจะได้รับการตอบรับที่ดี มีแนวโน้มจะเป็นแรงหนุนต่อ SET Index ในเดือน พ.ย.นี้ ได้เช่นกัน
"ณัฐชาต เมฆมาสิน" กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลก น่าจะยังมี Sentiment บวกเกี่ยวกับดีลการค้าที่หลงเหลืออยู่บ้าง หลังจีนประกาศเตรียมระงับการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากต่าง ๆ และมีแนวโน้มยุติการสอบสวนที่มุ่งเป้าไปที่บริษัทในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ในทางตอบแทน สหรัฐฯอาจชะลอการเก็บภาษีตอบโต้บางรายการต่อสินค้าจีนออกไปอีก 1 ปี
ขณะเดียวกัน แรงหนุนจากผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯในสหรัฐฯก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้กลุ่มชิ้นส่วนฯขนาดใหญ่ของไทย เช่น DELTA ยังคงเป็นตัวประคับประคองดัชนีได้อยู่ โดยในภาพรวมล่าสุด มีทั้งหมด 318 บริษัทในดัชนี S&P500 ที่รายงานผลประกอบการออกมาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามี Surprises ของยอดขายและกำไรในเชิงบวกอยู่ที่ราว 2.4% และ 5% ตามลำดับ
เช่นเดียวกับ "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" ที่มองว่า ปัจจัยต่างประเทศยังมีโมเมนตัมเชิงบวก ทั้งจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่มีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางในเดือนนี้ ที่จะมีการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยคาดยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4% ตามเดิม ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯยังคงต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะทยอยออก ซึ่งจะมีผลต่อการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในรอบสุดท้ายของปีในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งตลาดลดโทนการคาดหวังลงได้มากแล้ว ถือเป็นจุดที่ดีที่อาจกลับมา Surprise เชิงบวกได้
สอดคล้องกับ บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า ปัจจัยต่างประเทศมีสัญญาณบวกจากการค้าโลกมีความชัดเจนมากขึ้น ภายหลังสหรัฐฯและจีน บรรลุข้อตกลงด้านภาษีที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน รวมถึงความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทย-สหรัฐฯดีขึ้น หลังประเทศไทยได้รับอนุมัติอัตราภาษี 0% ในสินค้าบางรายการ หลังจากบรรลุข้อตกลงสงบศึกกับกัมพูชา โดยมี "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯเป็นสักขีพยาน
ด้าน บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เสริมว่า สหรัฐฯกับจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ทำให้ตลาดจะตอบรับเชิงบวกได้ ส่วนนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกยังคงผ่อนคลาย โดยเฉพาะ FED ซึ่งคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ และ 3 ครั้งในปี 2569 ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนสภาพคล่องในตลาดทุน และเป็นบวกต่อมูลค่า (Valuation) ของสินทรัพย์เสี่ยง
ขณะที่ กลยุทธ์การลงทุนเดือน พ.ย.นี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำลงทุนในธีมหุ้นที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 มีแนวโน้มเติบโตแกร่ง รวมทั้ง ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/68 มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีหุ้นแนะนำทั้งหมด 22 บริษัท ดังนี้
ชี้เป้า 22 หุ้นเด่นเดือน พ.ย. | |||
บล. | ชื่อย่อหุ้น | ราคาเหมาะสม (บ.) | %อัปไซด์* |
ทรีนีตี้ | ERW | 3.95 | 67.37 |
KTC | 35.23 | 23.61 | |
CPAXT | 24 | 22.45 | |
LH | 4.30 | 10.26 | |
BGRIM | 17.17 | 10.00 | |
ทิสโก้ | CPAXT | 32 | 63.27 |
SYNEX | 16 | 52.38 | |
OR | 15.80 | 10.12 | |
ADVANC | 319 | 10.00 | |
ดาโอ | SAV | 18 | 46.34 |
MAGURO | 33 | 39.24 | |
GFPT | 13.70 | 33.01 | |
SCGP | 22 | 20.88 | |
SAT | 15 | 14.50 | |
CENTEL | 36 | 11.63 | |
ลิเบอเรเตอร์ | GULF | 63.06 | 42.51 |
ITC | 21.60 | 25.58 | |
SPRC | 6 | 25.00 | |
SAWAD | 27.40 | 10.00 | |
ฟินันเซียฯ | MTC | 56 | 38.27 |
CPAXT | 26 | 32.65 | |
GFPT | 13 | 26.21 | |
ICHI | 14 | 13.82 | |
KTB | 29 | 10.00 | |
เคจีไอ | OR | 17.90 | 21.77 |
SCGP | 22 | 20.88 | |
SAWAD | 33.50 | 18.58 | |
AP | 9.80 | 13.29 | |
ADVANC | 335 | 10.93 | |
*อัปไซด์เทียบราคาปิด 31 ต.ค.68 | |||
22 บริษัทดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในดัชนี SET100 จำนวน 17 บริษัท โดยกลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ติดโผมากสุด จำนวน 4 บริษัท รองลงมา คือ กลุ่มธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์, และอาหารและเครื่องดื่ม ที่ติดโผ จำนวน 3 บริษัท เท่ากัน
บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) เป็นบริษัทที่ถูกโบรกเกอร์แนะนำตรงกันมากที่สุดถึง 3 แห่ง โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า แม้ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 ของ CPAXT มีแนวโน้มไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 4/68 ผลการดำเนินงานของบริษัทจะได้แรงหนุนทางอ้อมจากโครงการ "คนละครึ่งพลัส" เนื่องจาก CPAXT เป็นพันธมิตรหลักในห่วงโซ่อุปทานของผู้ค้าปลีกรายย่อย ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มรับประโยชน์หลัก
นอกจากนี้ มีอีก 5 บริษัท ที่ถูกนักวิเคราะห์แนะนำตรงกัน 2 แห่ง ประกอบด้วย บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ที่ถูกประเมินว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3/68 มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง จาก ARPU และ ixed Broadband ยังเติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับ ต้นทุนการดำเนินงานลดลง ประกอบกับ ยังถูกคาดการณ์ว่า หุ้นจะตกเป็นเป้าหมายในการซื้อของกองทุนประหยัดภาษีในช่วงปลายปี อีกด้วย
ด้าน บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) ถูกคาดว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3/68 มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มฟาร์มสัตว์ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเลี้ยงสัตว์ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ที่ระดับ 19.50% และสามารถชดเชยเงินบาท/ดอลลาร์ ที่แข็งค่าขึ้น อีกทั้ง กำไรสุทธิไตรมาส 4/68 คาดเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ เพราะจะมีการรับรู้คำสั่งซื้อที่เลื่อนมาจากไตรมาสที่ผ่านมา ประกอบกับ ราคาโครงไก่ในประเทศฟื้นตัวเป็น 13 - 13.50 บาท/กิโลกรัม เทียบไตรมาส 2/68 เฉลี่ยที่ 11.50 บาท/กิโลกรัม
ฟาก บมจ.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ถูกคาดการณ์ว่ากำไรปกติไตรมาส 3/68 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทั้งเทียบปีก่อน และไตรมาสก่อน หลังค่าการตลาดน้ำมันในประเทศฟื้นตัวเร็วกว่าคาดอยู่ที่ 0.98 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้น 92% จากปีก่อน และ 15% จากไตรมาสก่อน อีกทั้ง ช่วงไตรมาส 4/68 ยังมีแนวโน้มเดินหน้าเติบโตได้ต่อ จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว หนุนการเดินทางเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการเติมน้ำมันจะปรับตัวขึ้นด้วย เช่นเดียวกับสินค้า Lifestyle ที่จะได้รับแรงหนุนไปพร้อม ๆ กัน
ต่อด้วย บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) ที่ถูกคาดการณ์ว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3-4/68 จะเติบโตจากปีก่อน และไตรมาสก่อน ต่อเนื่อง หลังธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ประกอบกับ การปล่อยสินเชื่อของบริษัทกำลังอยู่ในช่วงของการเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าสินเชื่อเช่าซื้อ ทำให้รายได้ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นทั้งคู่
ส่วน บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ถูกคาดว่า กำไรสุทธิไตรมาส 4/68 จะเติบโตแข็งแกร่งตามปัจจัยฤดูกาล หลังธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรจะมีรายได้ และปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับ ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรจะเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เป็นบริษัท ที่ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์สูงสุดถึง 67.37% หลังถูกโบรกเกอร์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 3.95 บาท/หุ้น รองลงมา คือ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) ที่ราคาหุ้นซื้อขายล่าสุด มีอัปไซด์ 22.45 - 63.27 หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 24 - 32 บาท/หุ้น
ขณะที่ มีอีก 6 บริษัท ที่ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์มากกว่า 30% ประกอบด้วย บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX ที่ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 52.38% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 16 บาท/หุ้น, บมจ.สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ (SAV) ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 46.34% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 18 บาท/หุ้น
ด้าน บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 42.51% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 63.06 บาท/หุ้น, บมจ.มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO) ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 39.24% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 33 บาท/หุ้น
ปิดท้ายด้วย บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 26.21 - 33.01% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 13 - 13.70 บาท/หุ้น และ บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 38.27% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 56 บาท/หุ้น