
หลังเหตุการณ์ตลาดคริปโทฯ ปรับฐานรุนแรงเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ที่ส่งผลให้เกิดการ “ล้างพอร์ต” ในตลาดฟิวเจอร์สทั่วโลกมูลค่าเกือบ 20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ต้องบริหารอย่างรัดกุม หากประเทศไทยจะพิจารณาเปิดให้มีผลิตภัณฑ์ฟิวเจอร์สคริปโทฯ ในอนาคต
ในเรื่องนี้นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดผยว่า สินทรัพย์คริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเพิ่มเลเวอเรจผ่านผลิตภัณฑ์ฟิวเจอร์สจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ระบบ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมและกำกับดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดและผู้ลงทุน
อย่างไรก็ตาม นายเอนกย้ำว่า ก.ล.ต. “ไม่ได้ปิดกั้น” การพัฒนาผลิตภัณฑ์ฟิวเจอร์สคริปโทฯ ของกระดานเทรดคริปโทฯ ในประเทศไทย เพียงแต่การอนุญาตจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน และต้องอยู่ภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสม
“ถ้าจะมี (ฟิวเจอร์สคริปโทฯ) ก็ต้องศึกษากันดีๆ ว่าจะควบคุมความเสี่ยงอย่างไรให้เหมาะสม ก็คงไม่ได้เรียกว่าจะถึงขนาดปิด แต่ต้องดูตามความเหมาะสม เข้าใจว่าขณะนี้ก็มีการศึกษากันอยู่ ว่าจะควบคุมความเสี่ยงในระดับใด” นายเอนก กล่าว
โฆษก ก.ล.ต. ยังตอบคำถามถึงกรณีที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยเริ่มลงทุนถือครองบิตคอยน์ในงบการเงิน คล้ายกับแนวทางของบริษัทจดทะเบียนต่างประเทศ เช่น Strategy และ Metaplanet โดยระบุว่า การลงทุนในบิตคอยน์ของบจ. ถือเป็น “การลงทุนตามปกติ” เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ แต่ต้องไม่มากจนเข้าข่ายเป็น “Investment Company”
การระดมทุนของบริษัทมหาชนในตลาดหุ้น โดยหลักการแล้วควรมีธุรกิจหลักที่สร้างผลผลิตและรายได้ชัดเจน หากมีสภาพคล่องเหลือสามารถนำไปลงทุนได้ แต่ต้องไม่มากจนกลายเป็น Investment Company ซึ่งจะทำให้คุณสมบัติไม่สอดคล้องตามเกณฑ์การเป็นบจ.
พร้อมแนะนำว่า หากบริษัทต้องการดำเนินธุรกิจในลักษณะ “ลงทุนเป็นหลัก” ก็ควรใช้โครงสร้างกองทุนรวม หรือดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะเหมาะสมกว่า
“บจ.ถ้ามีเงินเหลือและจะนำไปลงทุนในพวกนี้ (บิตคอยน์ คริปโทฯ) ลงได้มั๊ย ก็คงบอกว่าลงได้ เพราะเดี๋ยวนี้เราต้องยอมรับว่า พวกสินทรัพย์ดิจิทัลถูกมองว่าเป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุน แต่สิ่งสำคัญคือ บจ.เวลาจะทำอะไรก็ต้องมีความระมัดระวังเพียงพอ ไม่ว่าจะลงทุนในหุ้น หรือคริปโทฯ ก็ต้องมีมาตรการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมและไม่มากจนเข้าข่ายเป็น Investment Company” นายเอนกย้ำ
ฟิวเจอร์สไม่ใช่ของต้องห้าม แต่คือของที่ต้อง ‘เข้าใจ’ ก่อนกระโดดลงสนาม
ก่อนหน้านี้ “หนึ่ง ปรมินทร์ อินโสม” ผู้ก่อตั้งเอ็กซ์เชนจ์ในตำนาน SatangPro และผู้ก่อตั้งโปรเจกต์เหรียญความเป็นส่วนตัว FIRO กล่าวในรายการ CryptoVerse [Live] ว่า หากประเทศไทยจะพิจารณาเปิดตลาดฟิวเจอร์สคริปโทฯ ในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความเข้าใจของนักลงทุน” โดยเฉพาะผู้ที่เทรดสินทรัพย์ประเภท Leverage หรือ Derivative ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนทั่วไป
เขากล่าวว่า “สิ่งแรกที่ควรจะต้องมีเลยก็คือ ต้องมีความเข้าใจจริง ๆ ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และสามารถรับความเสี่ยงตรงนั้นได้จริง ๆ” พร้อมชี้ว่าปัญหาที่มักเกิดขึ้นในต่างประเทศ มาจากผู้ลงทุนไม่เข้าใจตลาดที่ตนเองเปิดสัญญา เช่น ดูราคาจากตลาด Spot แล้วเข้าใจผิดว่าถูก Exchange เอาเปรียบ ทั้งที่ราคาฟิวเจอร์สในตลาดอนุพันธ์อาจเคลื่อนไหวต่างออกไปอย่างมาก
เขาเสนอแนวทางเชิงป้องกันว่า หากหน่วยงานกำกับต้องการลดความเสี่ยงในอนาคต อาจพิจารณาให้มี “การทดสอบความเข้าใจ” หรือระบบรับรองความรู้ก่อนเข้ามาเทรดผลิตภัณฑ์ที่มีเลเวอเรจ เพื่อยืนยันว่าผู้ลงทุนมีประสบการณ์และตระหนักถึงความเสี่ยงอย่างแท้จริง
“คนที่จะเข้ามาเทรด Leverage หรือ Futures ควรมีความเข้าใจพื้นฐานก่อน อาจมีระบบทดสอบหรือหลักฐานที่ยืนยันว่าเคยเทรดจริง และรับรู้ความเสี่ยงจริง ๆ แบบนี้จะช่วยให้ตลาดมีความปลอดภัยมากขึ้นทั้งต่อผู้ลงทุนและระบบโดยรวม” นายปรมินทร์ กล่าว
รายงานและเรียบเรียง : ชัชชญา อังคุลี
✅Better Trade 2025 : ปลดล็อคความคิด พิชิตโอกาส ฉลาดลงทุน
ลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ : https://www.zipeventapp.com/e/Better-Trade-2025