
Merkle Capital เปิดตัว M-BTCGLD กลยุทธ์ลงทุนใน Bitcoin และโทเคนดิจิทัลทองคำ ดักธีมใหญ่! สภาพคล่องทั่วโลกกำลังกลับมาเป็นขาขึ้น เปิดให้ลงทุนแล้ววันนี้ (17 พ.ย.68)
นายธนลภย์ ปรีดามาโนช ผู้จัดการเงินทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จํากัด กล่าวว่าหนึ่งในธีมใหญ่ช่วงปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้าคือ วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง (Easing cycle) ที่สภาพคล่องทั่วโลกกำลังกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งจาก (1)การคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีกราว 2-3 ครั้งภายในปีหน้า และ (2)การส่งสัญญาณการหยุดการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening หรือ QT) ของเฟดตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. นี้และเริ่มมีนักวิเคราะห์จาก JPMorgan ออกมาคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงที่เฟดจะเริ่มกลับมาเพิ่มขนาดงบดุล (Quantitative Easing หรือ QE) ภายในปีหน้า
ซึ่งกลุ่มสินทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์จากธีมดังกล่าวหนีไม่พ้นสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น, สินทรัพย์ที่มี yield เช่นตราสารหนี้และกลุ่ม REIT และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นแหล่งสะสมมูลค่า (Store of value) เช่นบิตคอยน์ และทองคำ ที่ทั้งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สินทรัพย์ทั้งสองมีความสัมพันธ์เชิงบวก หรือค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) มากกว่า 70-80% กับปริมาณสภาพคล่องของโลก และยังมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัวรออยู่ในปี 2026 ดังนี้
บิตคอยน์ (Bitcoin) จากสินทรัพย์เก็งกำไร กำลังก้าวสู่การยอมรับในวงกว้าง โดยเทรนด์การยอมรับในบิตคอยน์เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา เริ่มจากปี 2017 เป็นเพียงสินทรัพย์เก็งกำไร ปี 2021 มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาใช้งานจำนวนมาก และเริ่มมีบางบริษัทถือเป็นเงินสำรอง ปี 2024 ถูกยอมรับโดยนักลงทุนสถาบันผ่านการออก ETFs จนก้าวเข้าสู่ปี 2025 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจถือเป็น Strategic reserve ของประเทศ
โดยช่วงที่เหลือของปีจนถึงปี 2026 เรายังเห็นเทรนด์การอนุมัติกฎหมายต่าง ๆ ที่ผ่านร่างแล้วเตรียมบังคับใช้ เช่น Genius act และ Clarity act ที่ทั้งหมดนี้กำลังผลักดันให้บิตคอยน์และคริปโทฯ ได้รับการยอมรับในวงกว้าง (Mass adoption) และมีดีมานด์จากกลุ่มนักลงทุนใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้น
ทองคำ (Gold) จากมาตรฐานดอลลาร์สู่ทองคำ โดยการแข่งขันกันเพื่อเป็นมหาอำนาจของโลกระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สหรัฐฯ ใช้วิธียึดหัวหาดในนวัตกรรมใหม่ผ่านการออกกฎหมายสนับสนุน Stablecoin ที่มีดอลลาร์หนุนหลัง ยิ่งโลกคริปโทฯ และ Stablecoin มีคนใช้งานมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งส่งผลให้มีดีมานด์ในการถือดอลลาร์มากขึ้นเท่านั้น
ส่วนจีน และกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่นกลุ่ม BRICS ใช้กลยุทธ์ลดการพึ่งพาดอลลาร์และลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลง โดยให้ธนาคารกลางของประเทศหันไปถือทองคำแทน โดยปัจจุบันธนาคารกลางของจีนถือทองคำสัดส่วนเพียง 7% ของทุนสำรอง เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐฯ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส หรืออิตาลี ถือทองคำสัดส่วนมากกว่า 70% สะท้อนถึงยังมีดีมานด์การซื้อทองคำอีกมากหากการแข่งขันของมหาอำนาจยังดำเนินต่อไป
กลยุทธ์ “Dual Store of Value Portfolio” หรือการถือครองทั้งทองคำและ Bitcoin สามารถสร้างสมดุลระหว่าง “เสถียรภาพ” และ “ศักยภาพในการเติบโต” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทองคำช่วยลดความผันผวนของพอร์ตในช่วงที่ตลาดคริปโทฯ ผันผวน ส่วน Bitcoin เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากเทคโนโลยีและการยอมรับของสถาบัน
พอร์ตที่ผสมทั้งสองสินทรัพย์ในสัดส่วน อาจเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันเงินเฟ้อ แต่ยังต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือทองคำในระยะยาว การปรับสัดส่วนตามสภาพคล่องโลกและทิศทางดอกเบี้ยจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญ เพื่อให้พอร์ตทำหน้าที่เป็น Store of Value ที่ยืดหยุ่นและเติบโตได้ในระยะยาว
Merkle Capital ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทยภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีกลยุทธ์จัดการเงินทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในบิตคอยน์ (Bitcoin) หลากหลายกลยุทธ์ เช่น Bitcoin Alpha (M-BTCA) กลยุทธ์ระยะยาวที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้รับความเชื่อมั่น Bitcoin กลยุทธ์ Bitcoin Downside Protection (M-QBTC) กลยุทธ์ที่ใช้การบริหารจัดการเงินทุนแบบเชิงรุกโดยใช้ข้อมูลการลงทุนเชิงปริมาณเพื่อลดความเสี่ยงขาลง
Merkle Capital เปิดตัวกลยุทธ์จัดการเงินทุน Dynamic Bitcoin Gold (M-BTCGLD) ซึ่งลงทุนใน Store of Value เช่น Bitcoin และ ทองคำในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัล (Tokenized Gold) โดยสินทรัพย์ที่อ้างอิงทองคำมีการ ตรึงมูลค่าไว้กับทองคำในอัตราส่วน 1:1 เพื่อลดความผันผวนของกลยุทธ์ ในขณะที่ยังสะท้อนการเคลื่อนไหวของมูลค่าจากทั้งสองสินทรัพย์ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.merkle.capital/funds/dynamic-bitcoin-gold
เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดียกับเราที่นี่ : https://url.in.th/efinanceThai-CONNECT