
ท่ามกลางสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจมหภาคที่ดูเหมือนจะเอื้ออำนวย ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย, การสิ้นสุดมาตรการคิวที (QT) และตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ แต่สถานการณ์ในตลาดคริปโทฯ กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยยังคงซบเซาและทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร
อ้างอิงจาก บทวิเคราะห์ของ Wintermute โดย @Jjay_dm นักกลยุทธ์ประจำฝ่าย OTC ของบริษัท Wintermute สรุปได้ 4 ประเด็นสำคัญเพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดคริปโทฯ ในช่วงนี้
สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือ แม้จะมีข่าวดีทางเศรษฐกิจมหภาคหลั่งไหลเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% และการสิ้นสุดมาตรการ Quantitative Tightening (QT) อย่างเป็นทางการ แต่ตลาดคริปโทฯ กลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานเฟด Jerome Powell ได้ส่งสัญญาณชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
เมื่อมองในระดับดัชนีจะเห็นภาพความเสียหายที่ลึกและเป็นวงกว้าง โดยดัชนี GMCI-30 ลดลงถึง -12% และการขาดทุนกระจายไปในหลายกลุ่ม:
มีเพียงไม่กี่กลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งสวนทางตลาดได้ เช่น AI (-3%) และ DePIN (-4%) ความขัดแย้งระหว่างสภาวะเศรษฐกิจที่ดี กับผลตอบแทนที่ติดลบของคริปโทฯ นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของคำถามสำคัญว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลายคนอาจคิดว่าตลาดซบเซาเพราะขาดสภาพคล่อง แต่ความจริงแล้วปัญหาไม่ใช่การ “ไม่มีเงิน” แต่เป็นเพราะ “เงินไม่มา” กล่าวคือ สภาพคล่องทั่วโลกกำลังขยายตัวขึ้นจริง แต่เงินทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น “ไม่ได้ไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ เหมือนที่เคยเป็น”
เงินทุนก้อนใหม่กลับไหลไปยังสินทรัพย์อื่นที่มีแรงส่งดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด เช่น หุ้น, กลุ่มอุตสาหกรรม AI และตลาด Prediction Markets
นี่คือสัญญาณการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ความแปลกใหม่ของคริปโทฯ ที่เคยดึงดูดใจเริ่มจางลง และนักลงทุนรายย่อยได้หันไปหาตลาดอื่นที่มีโมเมนตัมร้อนแรงกว่า
3. เครื่องยนต์ 3 ตัวที่เคยขับเคลื่อนตลาด ตอนนี้เหลือทำงานแค่ 1
สาเหตุที่สภาพคล่องใหม่ ยังไม่ไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ ก็เพราะ “เครื่องยนต์หลัก” ที่เคยดึงดูดเม็ดเงินในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งตอนนี้ 2 ใน 3 ได้หยุดทำงานไปแล้ว
โดยในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดคริปโทฯ ถูกขับเคลื่อนด้วย “เครื่องยนต์” ทางการเงิน 3 ตัว แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับเหลือทำงานอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น
การที่แหล่งเงินทุนหลัก 2 ใน 3 หยุดทำงาน ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพรวมของตลาด ทำให้ขาดแรงส่งที่จำเป็นในการผลักดันราคาให้สูงขึ้น
ความเชื่อดั้งเดิมเรื่อง “วัฏจักร 4 ปี” (Four-year cycle) ที่ผูกติดกับการ Halving ซึ่งหลายคนในวงการยึดถือ อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วในปัจจุบัน
Wintermute ชี้ว่ากลไกเดิมที่เคยขับเคลื่อนวัฏจักรนี้ เช่น อุปทานจากนักขุดและปรากฏการณ์ Halving ไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป ในตลาดที่เติบโตเต็มที่และมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก ปัจจัยขับเคลื่อนที่แท้จริงในปัจจุบันคือ “สภาพคล่อง (liquidity)” ไม่ใช่วัฏจักรตามปฏิทินที่เคยเป็นมา
บทสรุป และสิ่งที่ต้อง “จับตา” นับจากนี้
แม้โครงสร้างตลาดคริปโทฯ ในปัจจุบันจะยังดูแข็งแกร่ง (เนื่องจากมีการล้าง Leverage ส่วนเกินออกไปแล้ว) และสภาวะเศรษฐกิจมหภาคโดยรวมยังคงเอื้ออำนวย แต่การฟื้นตัวของตลาดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “สภาพคล่องเริ่มไหลกลับ” เข้ามาอีกครั้ง
ดังนั้น สัญญาณที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดนับจากนี้ไม่ใช่ปฏิทิน Halving แต่คือข้อมูลที่สะท้อนการไหลของสภาพคล่องโดยตรง การติดตามการไหลเข้าของเงินทุนใน ETF และกิจกรรมในตลาด DATs จะเป็นกุญแจสำคัญ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในสัญญาณแรกสุดที่บ่งชี้ว่าสภาพคล่องกำลังจะกลับเข้ามาสู่ตลาดคริปโทฯ อีกครั้ง
รายงานและเรียบเรียง : ชัชชญา อังคุลี