
ในโลกของการลงทุนและการทำธุรกิจ ไม่มีคำว่า “ยั่งยืน” หากขาดการปรับตัว แม้แต่สินค้าที่ครองตลาดมานานเกือบครึ่งศตวรรษอย่าง “Super Sentai” หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ขบวนการห้าสี” ก็ยังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องทบทวนกลยุทธ์ครั้งใหญ่
วันนี้ efinance จะพาคุณไปเจาะลึกเบื้องหลังการตัดสินใจทางธุรกิจครั้งนี้ ว่าทำไม Toei ถึงต้องเปลี่ยน? และเราจะได้เรียนรู้อะไรจากกลยุทธ์นี้บ้าง

มีรายงานที่น่าสนใจระบุว่าแฟรนไชส์ระดับตำนานนี้อาจจะยุติบทบาทลงในช่วงต้นปี 2026 หลังจากซีรีส์ชุดปัจจุบันอย่าง No.1 Sentai Gozyuger จบลง ข่าวนี้ไม่ได้สั่นสะเทือนแค่วงการแฟนคลับ Tokusatsu เท่านั้น แต่ในมุมมองของนักการตลาดและนักลงทุน นี่คือกรณีศึกษาชั้นยอดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ Product Life Cycle และการแก้เกมเมื่อกระแสเงินสดไม่เป็นไปตามเป้า
หากเรามอง Super Sentai เป็น “หุ้น” ตัวหนึ่ง คือ หุ้น Blue Chip ที่ปันผลสม่ำเสมอมาเกือบ 50 ปี ด้วยโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน : ทีมฮีโร่สวมหน้ากากหลากสี + หุ่นยนต์ยักษ์ = ยอดขายของเล่นมหาศาล แต่จากข้อมูลล่าสุดระบุว่า ภาค No.1 Sentai Gozyuger จะเป็นภาคสุดท้ายของยุคนี้ สวนทางกับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Kamen Rider และ Ultraman ที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สาเหตุหลักทางธุรกิจ คือ อะไร?
คำตอบนั้นเรียบง่ายแต่เจ็บปวด คือ เรื่องของ “Cost vs. Revenue” หรือต้นทุนเทียบกับรายรับ แม้เราจะไม่มีตัวเลขงบดุลที่แน่ชัดออกมาเปิดเผย แต่เป็นที่ทราบกันดีในวงการอุตสาหกรรมของเล่นว่า ยอดขายของเล่นจากฝั่ง Super Sentai ในระยะหลัง ไม่สามารถทำกำไรครอบคลุมต้นทุนการผลิตซีรีส์ ที่สูงขึ้นได้อีกต่อไป
สาเหตุลึกๆ เกิดจาก “กับดักของการผูกขาด” ในตลาดญี่ปุ่น Super Sentai เป็นซีรีส์คนแสดงเพียงเรื่องเดียวที่ผูกขาดตลาด “หุ่นยนต์ประกอบร่าง” มาอย่างยาวนาน การไร้คู่แข่งใน Niche Market นี้ กลับกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ขาดแรงกระตุ้นในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
ในช่วงหลังปี 2020 เป็นต้นมา ผู้ปกครองหลายท่านสังเกตเห็นว่า สินค้าของเล่นเริ่มขาดความสดใหม่ และมักจะเป็นการนำของเดิมมาทำซ้ำ หรือเน้นขายความถวิลหาอดีต (Nostalgia) เช่นในภาค Kikai Sentai Zenkaiger (2021–2022) ซึ่งในเชิงจิตวิทยาผู้บริโภคแล้ว “เด็กๆ ไม่ได้อินกับอดีต” ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อ ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่พอที่จะพยุงยอดขายทั้งหมดได้
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจในเชิงเศรษฐศาสตร์ คือ การเปรียบเทียบระหว่างโมเดลธุรกิจของ Kamen Rider (ฮีโร่เดี่ยว) และ Super Sentai (ฮีโร่ทีม)
ทำไม Kamen Rider ถึงยังอยู่รอด? กุญแจสำคัญคือ “The Power of One” ในซีรีส์ Kamen Rider แม้จะมีตัวละครเสริมมากมาย แต่สินค้าหลักจะโฟกัสไปที่ “พระเอกคนเดียว”
จุดอ่อนของโมเดล “ทีม” ในทางกลับกัน Super Sentai ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการมีสมาชิกทีมหลายคน
แม้ทางผู้ผลิตจะพยายามแก้เกมด้วยการทดลองสร้างซีรีส์ที่เน้นบทบาทไปที่ตัวละครใดตัวละครหนึ่งเป็นพิเศษ เช่นใน Avataro Sentai Donbrothers (2022–2023) และ Zenkaiger แต่ในมุมมองการตลาด มันคือมาตรการที่ “Too little, too late” หรือ ช้าเกินไปที่จะกู้สถานการณ์กลับมา

ในการลงทุน เมื่อสินทรัพย์เดิมเริ่มไม่ทำกำไร นักลงทุนที่ฉลาดจะทำการ Rebalance Port ใหม่ เช่นเดียวกับ Toei ที่เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว
ข้อมูลระบุว่า Toei ไม่ได้จะทิ้งตลาดนี้ไป แต่กำลังจะทำการ Rebranding หรือสร้างทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ใหม่ ซึ่งลือกันว่าจะใช้ชื่อ “Universe Heroes” แต่ที่น่าจับตามองกว่านั้นคือ “ทางเลือกที่ 3”
การคืนชีพของ Metal Heroes ในปี 1982 ถึง 1999 Toei เคยมีสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งอย่าง Metal Heroes (หรือที่ฝั่งอเมริกาคุ้นเคยในชื่อ VR Troopers/Beetleborgs) ซึ่งเป็นฮีโร่สวมเกราะไฮเทค
ล่าสุดมีการประกาศที่น่าตื่นเต้นว่า ซีรีส์นี้จะถูกปลุกชีพกลับมาในชื่อ “Super Space Sheriff Gavan Infinity” โดยมีกำหนดฉายในปี 2026 ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่ IP นี้จะถูกนำมาเสียบแทนช่วงเวลาของ Super Sentai
ทำไมต้องเป็น Gavan Infinity? ในมุมมองธุรกิจ นี่อาจเป็นการทดลองตลาดใหม่โดยใช้ฐานแฟนคลับเดิม ของตำรวจอวกาศ Gavan มาต่อยอด เพื่อสร้างความแตกต่างจากตลาดปัจจุบันที่เริ่มอิ่มตัว
ไม่ว่าจะเป็น Universe Heroes หรือ Gavan Infinity โจทย์สำคัญที่จะทำให้ซีรีส์ใหม่นี้อยู่รอดได้ ไม่ใช่แค่เรตติ้งทีวี แต่คือ Ecosystem ของรายได้
สิ่งที่ผู้สืบทอดต้องทำทันทีเพื่อความยั่งยืนทางการเงิน:
ข้อมูลเปรียบเทียบส่วนแบ่งตลาดเกมตู้ (Arcade Presence)
ดังนั้น หากซีรีส์ใหม่ต้องการจะอยู่รอด จะต้องดึงส่วนแบ่งการตลาดใน Game Center กลับมาให้ได้ เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้ไหลเวียนครบทุกช่องทาง

บทสรุปของเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในค่าย Toei กับการยุติซีรีส์ Super Sentai ที่ครองใจผู้ชมมากว่า 50 ปี ไม่ได้เป็นเพียงข่าวสารในวงการบันเทิงเท่านั้น ทว่าในมุมมองของการบริหารจัดการและการลงทุน นี่คือกรณีศึกษาที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสัจธรรมทางธุรกิจที่ว่า “ความยั่งยืนไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยาวนานในอดีต แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวในปัจจุบัน”
จากการวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าว เราสามารถถอดรหัสออกมาเป็น 3 บทเรียนสำคัญทางธุรกิจและการเงิน ที่นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารพอร์ตการลงทุนได้ ดังนี้
1. กับดักของการเป็นเจ้าตลาด และความเสี่ยงจากการหยุดพัฒนา
ประการแรกที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ประเด็นเรื่องสภาพการแข่งขัน จากข้อมูลระบุว่า Super Sentai เป็นซีรีส์คนแสดงเพียงเรื่องเดียวในตลาดญี่ปุ่นที่ผูกขาดการนำเสนอเรื่องราวของ “หุ่นยนต์ยักษ์” มาอย่างยาวนาน การไร้คู่แข่ ในกลุ่มสินค้านี้ แม้ดูเหมือนจะเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ แต่ในระยะยาวกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้เกิดภาวะชะล่าใจ
ในทฤษฎีการบริหารจัดการ เมื่อองค์กรครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ แรงกระตุ้นในการสร้างนวัตกรรม มักจะลดลง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ขาดความแปลกใหม่ ดังที่ปรากฏในรายงานว่าของเล่นยุคหลังปี 2020 เริ่มขาดแรงดึงดูดใจผู้บริโภค ซึ่งสำหรับนักลงทุนแล้ว นี่คือสัญญาณเตือนภัยที่ต้องระวัง หากบริษัทใดในพอร์ตการลงทุนของท่านเริ่มมีพฤติกรรม “กินบุญเก่า” และขาดการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แม้จะเป็นเจ้าตลาดในวันนี้ ก็อาจถูกคู่แข่งหรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปแซงหน้าได้ในอนาคต
2. กลยุทธ์การตัดขาดทุน และการก้าวข้ามต้นทุนจม
บทเรียนที่สำคัญที่สุดและทำใจได้ยากที่สุดสำหรับนักลงทุน คือ การตัดสินใจยุติสิ่งที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน กรณีของ Toei ที่กล้าตัดสินใจยุติแฟรนไชส์ Super Sentai ที่มีอายุเกือบครึ่งศตวรรษ เพื่อเปิดทางให้กับ Universe Heroes หรือการนำ Metal Heroes กลับมาทำใหม่ ถือเป็นการตัดสินใจตามหลักเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์มากกว่าอารมณ์ความรู้สึก
ในทางการเงิน สิ่งนี้เรียกว่าการบริหารจัดการ “ต้นทุนจม” กล่าวคือ ผู้บริหารไม่ยึดติดกับเม็ดเงินหรือเวลาที่ลงทุนไปในอดีต (50 ปีของประวัติศาสตร์) แต่โฟกัสที่ผลตอบแทนในอนาคต หากโมเดลธุรกิจเดิมแบบ “ทีม 5 สี” เริ่มไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดที่เป็นบวกได้เนื่องจากต้นทุนการผลิตของเล่นที่สูงและการกระจายความนิยมที่ควบคุมยาก การกล้าที่จะ “ตัดขาดทุน” เพื่อรักษาสภาพคล่องและทรัพยากรไว้ลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ (New IP) ย่อมเป็นทางออกที่ชาญฉลาดกว่าการฝืนทำต่อไปจนขาดทุนสะสม
3. ความจำเป็นของการกระจายความเสี่ยง
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้ Super Sentai เพลี่ยงพล้ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Kamen Rider คือ โครงสร้างรายได้ที่พึ่งพา “ยอดขายของเล่น” มากจนเกินไป และขาดช่องทางรายได้เสริม ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการสูญเสียพื้นที่ในตลาด “เกมตู้” (Arcade Games)
ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ในขณะที่คู่แข่งมีระบบนิเวศทางธุรกิจ ที่ครบวงจร ตั้งแต่ซีรีส์ทีวี ของเล่น ไปจนถึงเกมการ์ดสะสมที่มีการอัปเดตต่อเนื่อง แต่ Super Sentai กลับขาดจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญนี้ไป ส่งผลให้เมื่อยอดขายของเล่นหลักชะลอตัว จึงไม่มีรายได้จากส่วนอื่นมาช่วยพยุงสถานการณ์
สำหรับนักลงทุน เรื่องนี้ย้ำเตือนให้เห็นถึงความสำคัญของ การกระจายความเสี่ยง ในพอร์ตการลงทุน ไม่ควรทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดไปในสินทรัพย์ประเภทเดียวหรืออุตสาหกรรมเดียว เพราะหากเกิดวิกฤตในเซกเตอร์นั้น พอร์ตการลงทุนโดยรวมอาจเสียหายหนักได้ การมีสินทรัพย์ที่หลากหลายจะช่วยสร้างสมดุลและลดความผันผวนของผลตอบแทนได้ดีกว่า
บทสรุป การเปลี่ยนแปลงของ Toei ในปี 2026 ถือเป็นก้าวที่กล้าหาญและน่าจับตามองในฐานะกรณีศึกษาของการบริหารจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นนักลงทุนและผู้ประกอบการ เรื่องราวนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีให้หมั่นกลับมาตรวจสอบสินทรัพย์และธุรกิจในมือของท่านอย่างสม่ำเสมอ
จงตั้งคำถามกับตัวเองว่า สินทรัพย์ที่เราถือครองอยู่นั้น ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตจริงหรือไม่ในโลกยุคปัจจุบัน? เรากำลังยึดติดกับความสำเร็จในอดีตจนมองข้ามสัญญาณเตือนภัยหรือไม่? และที่สำคัญที่สุด เรามีความกล้าพอที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าในอนาคตหรือไม่? เพราะในโลกของการลงทุน ผู้ที่อยู่รอดไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นผู้ที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด
| หลักการทางธุรกิจ (Business Principle) | สถานการณ์ที่เกิดขึ้น (Case Study: Super Sentai) | บทเรียนและการประยุกต์ใช้สำหรับนักลงทุน (Investment Key Takeaway) |
| 1. กับดักเจ้าตลาดและการหยุดพัฒนา(Monopoly Trap & Innovation Stagnation) | • ปัญหา: เป็นเจ้าเดียวที่ผูกขาดตลาด “หุ่นยนต์ยักษ์” มายาวนานจนเกิดความชะล่าใจ • ผลลัพธ์: ขาดแรงกระตุ้นในการสร้างนวัตกรรม ทำให้ของเล่นยุคหลังปี 2020 ขาดความแปลกใหม่และไม่ดึงดูดผู้บริโภค | • สัญญาณเตือน: อย่ามั่นใจในบริษัทที่เป็น “เจ้าตลาด” เพียงอย่างเดียว หากบริษัทนั้นขาดการวิจัยและพัฒนา (R&D) • คำแนะนำ: หลีกเลี่ยงหุ้นที่ “กินบุญเก่า” เพราะหากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน คู่แข่งอาจแซงหน้าได้ทันที |
| 2. การตัดขาดทุนและต้นทุนจม(Cut Loss & Sunk Cost Fallacy) | • การตัดสินใจ: ยุติแฟรนไชส์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน 50 ปี เพราะโมเดลเดิม (“ทีม 5 สี”) ต้นทุนสูงแต่กำไรลดลง • ทางออก: ไม่ยึดติดกับอดีต แต่เลือกปั้นสินทรัพย์ใหม่ (New IP) อย่าง Universe Heroes หรือ Metal Heroes เพื่ออนาคต | • Mindset: อย่าเสียดายเวลาหรือเงินที่ลงทุนไปแล้ว (Sunk Cost) หากพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางแย่ลง • คำแนะนำ: ต้องกล้า “Cut Loss” สินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไร เพื่อรักษาสภาพคล่องไปลงทุนในโอกาสใหม่ที่มี Future ROI สูงกว่า |
| 3. การกระจายความเสี่ยง(Diversification Strategy) | • จุดอ่อน: รายได้พึ่งพา “ยอดขายของเล่น” เพียงอย่างเดียวมากเกินไป • ความเสียหาย: เมื่อยอดขายของเล่นตกต่ำ ไม่มีรายได้ส่วนอื่น (เช่น ตลาดเกมตู้/Arcade) มาช่วยพยุง เหมือนคู่แข่งที่มี Ecosystem ครบวงจร | • กลยุทธ์: ห้ามทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว หรืออุตสาหกรรมเดียว • คำแนะนำ: การมีสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Diversified Portfolio) จะช่วยสร้างสมดุลรายได้และลดความผันผวนเมื่อเกิดวิกฤตในพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง |
อ้างอิงจาก tokyoweekender,tokunation,animemojo และ gizmodo