“อนุทิน” นายกรัฐมนตรี ฉายภาพไทยอีก 4 ปีข้างหน้า ไม่ “ปังก็ พัง” หากยืนผิดที่-เดินช้า ชี้ไทยยังมีศักยภาพ พร้อมเดินหน้าดันอุตสาหกรรม EV- Digital Economy-สุขภาพ พร้อมมองหาโอกาสใหม่ด้านพลังงาน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยในการปาฐกถาพิเศษในงาน Dinner Talk ภายใต้หัวข้อ “Thailand: The Next 4 Years” ว่า การจะบอกว่าประเทศไทย ในอีก 4 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร แรกสุดต้องบอกว่า ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งที่จะมาถึง เพราะผู้นำแต่ละคนจะมีวิธีขับเคลื่อนประเทศไปคนละแบบ คนละแนวทาง ดังนั้น วันนี้ ขอตั้งต้นประเทศไทย 4 ปีต่อจากนี้ในมุมมองของนายกรัฐมนตรี บนเงื่อนไขเป็น 4 ปีที่มีตนเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงไม่สามารถพูดแทนได้ 
สำหรับ ประเทศไทย 4 ปีข้างหน้านี้ ถ้าไม่ “ปัง” ก็ “พัง” เพราะจะเป็น 4 ปีที่โลกหมุนเร็วมาก ถ้ายืนอยู่ผิดที่ หรือเดินช้าไป ก็จะจบในที่ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งตัวอย่างของการยืนผิดที่ ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ คือ การไปอิงแอบกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมากเกินไป การยืนถูกที่ คือ การยืนให้เด่น ให้โลกรู้คุณค่า ประเทศไทยสามารถเป็นตัวเชื่อม เป็นสะพาน และเป็นผู้สร้างความมั่นคงได้ ทั้งความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสุขภาพ หรือความมั่นคงในฐานะผู้ที่อยู่ใน ห่วงโซ่การผลิต ที่ได้มาตรฐานสูง ทำงานด้วยง่าย เพิ่มมูลค่าให้กับหุ้นส่วนได้ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยต้องยืนให้ถูกที่ ซึ่งไทยได้ประกาศจุดยืนให้เห็นแล้วในเวทีระหว่างประเทศที่ผ่านมาว่าพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย ไทยได้ลงนาม MOU เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องต่างๆ กับหลายประเทศ ขณะเดียวกัน ก็สนับสนุนความร่วมมือกับภูมิภาคอาเซียนอย่างเต็มที่ ดำเนินการที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย เช่นเดียวกับที่เป็นประโยชน์กับมิตรประเทศของไทยด้วย ทั้งนี้ แน่นอนว่า ความตกลงจะเกิดขึ้นได้ ย่อมเป็นความตกลงที่ win-win ทั้งสองฝ่าย ไทยต้องแสดงให้เห็นศักยภาพ เช่น การเป็นแหล่งผลิตรถอีวี เซมิคอนดักเตอร์ เศรษฐกิจสีเขียว Digital Economy และในโอกาสใหม่ ๆ ด้านพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เดินหน้าไว้แล้ว และจะยืนต่อไปอย่างมั่นคงในอีก 4 ปีข้างหน้า นายอนุทิน ยังประกาศว่า 4 ปีข้างหน้า ปัญหาไทย-กัมพูชาต้องจบเรียบร้อย ความขัดแย้งเรื้อรังจะไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น วันนี้ได้ทำให้สถานการณ์กลับมาสู่เส้นทางที่ควรเป็นแล้ว กัมพูชาได้ให้ความร่วมมือกับไทยในกระบวนการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อปักหมุดชั่วคราว เป็นการแก้ปัญหาพื้นที่พิพาทอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาที่ต้นตอ และให้ความสำคัญกันที่สาเหตุจริงๆ เมื่อกระบวนการถูกต้อง ผลที่ออกมาจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย จะไม่ต้องทิ้งปัญหานี้ให้เป็นภาระของลูกหลาน สี่ปีข้างหน้า ความสัมพันธ์ของไทยกับเพื่อนบ้านทุกประเทศ ต้องเป็นไปในทางบวก “ ทุกคนทราบดีว่า เสถียรภาพการเมืองคือเงื่อนไขแรกของความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งทั่วไปปีหน้า และน่าจะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งหวังว่า หากเดินหน้าไปตามทางได้ ก็จะวางโครงสร้างอำนาจอย่างได้มาตรฐาน ตามระบอบประชาธิปไตย รับรองสิทธิเสรีภาพประชาชน ก็จะเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในอนาคตอันใกล้”นายอนุทิน กล่าว สำหรับ ระบบกฎหมายในประเทศไทย นอกจากจะต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนแล้ว ยังต้องเอื้อต่อการทำธุรกิจ ต้องเป็นกฎหมายที่มีคุณภาพพอที่จะเชื้อเชิญคนให้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่จุกจิก นี่คือเหตุผลของการกิโยตินกฎหมาย ต้องมี Mindset ของรัฐ ที่เคารพในสิทธิเสรีภาพของบุคคล สภานิติบัญญัติควรเป็นสภาที่ออกกฎหมายเพื่อความเจริญในทุกมิติไม่ใช่ออกกฎหมายเพื่อความลำบากของประชาชนและผู้ประกอบการ และเมื่อมีกฎหมายที่ดีแล้ว การพัฒนาจะง่ายขึ้นมาก ส่วนการบริหาร 4 ปีข้างหน้า ผู้นำ และทั้งคณะ จะต้องเป็นคนที่พร้อมทำงาน พร้อมทั้งคุณวุฒิ สติปัญญา ประสบการณ์ และคุณสมบัติส่วนตัว ที่จะนำมาซึ่งการบริหารงาน เมื่อการเมืองเสถียรแล้วจะนำมาซึ่งการปฏิรูปการศึกษา วันนี้ถ้าไม่ปฏิรูปการศึกษา นอกจากจะพัฒนาลำบากแล้ว ความเหลื่อมล้ำจะยิ่งมีช่องห่างออกไปอีก ขณะที่ระบบการศึกษายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ระบบการศึกษาที่เป็นสากล กลับมีความเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และเด็กไทยที่มีโอกาสที่มาจากครอบครัวที่มีกำลังทรัพย์ก็จะได้รับโอกาสเหล่านั้นผ่านโรงเรียนนานาชาติหรือโรงเรียนเอกชนซึ่งพัฒนาตัวเองมาตลอด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็กที่ได้รับการศึกษามาตรฐานสูง เมื่อเรียนจบแล้วจะไม่เลือกทำงานในเมืองไทย เป็นภาวะสมองไหล ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะโลกทุกวันนี้ถือว่าทุกคนเป็น พลเมืองโลก ต้องสามารถย้ายถิ่นฐานไปทำงานในประเทศต่างๆ ได้ หากคนเก่งออกไปหมด ในขณะที่อัตราเด็กเกิดน้อยลง ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาจึงสำคัญมาก เพราะในอนาคตจะต้องใช้ความรู้ ทักษะในการอยู่รอดในโลก และในการทำให้ประเทศไทยคงความสามารถในการแข่งขันได้ในเวทีโลก ซึ่งการศึกษาที่พูดถึงไม่ได้หมายถึงแค่การศึกษาในระบบในโรงเรียนมหาวิทยาลัย แต่ต้องให้การศึกษากับประชาชนในทุกอาชีพ ที่ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของโลก ด้านเกษตรกรรม เกษตรกรยุคใหม่ของไทยจะต้องรู้จัก Smart Farming หรือ Precision Farming เกษตรแม่นยำ ใช้โอกาสที่มีให้ได้ประโยชน์สูงสุด สูญเสียน้อยที่สุด และมีความหลากหลายในการเพาะปลูก ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โดยมีภาครัฐคอยบริหาร Demand - Supply ให้ขายผลผลิต ได้ในราคาดีที่สุด เมื่อทำได้จะมีแต่การขอโควตาซื้อข้าวจากประเทศไทย สำหรับอีกกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ คือ ผู้ประกอบการ SME ที่รัฐบาลได้วางรากฐานและเป้าหมายให้ในอนาคตอันใกล้ ผู้ประกอบการจะต้องรู้จักและเข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐบาลได้เดินหน้ากระตุ้นอย่างเต็มที่ในโครงการคนละครึ่ง พลัส ในการส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงช่องทางใหม่ ๆ ทางการค้า รวมถึงการเสริมทักษะความรู้เกี่ยวกับการทำบัญชี เพื่อยกระดับธุรกิจจากขนาดเล็ก เป็นขนาดกลาง ให้มีศักยภาพที่พร้อมที่จะเติบโตต่อไป นอกจากนี้ ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยไปแล้วและในเวลาไม่นาน จะมีคนอายุเกิน 65 ปี มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด จะเจอกับทั้งแรงงานที่ลดลง ภาระสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น และความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้สูงอายุที่มีทรัพย์สินกับผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้จะยิ่งกว้างขึ้นจนกระทบเสถียรภาพของทั้งประเทศ รัฐบาลนี้จึงได้มีการศึกษาเรื่องการขยายอายุเกษียณราชการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเดียวที่ต้องทำ สี่ปีข้างหน้าต้องเปลี่ยนจากการ “ดูแล” ผู้สูงอายุ ไปสู่การ “ลงทุน” กับผู้สูงอายุ สำหรับปัจจุบันมีเศรษฐกิจที่เรียกว่า Silver Economy ที่เติบโตเร็วมาก ทั้งสุขภาพ อาหาร การท่องเที่ยว การฟื้นฟู การแพทย์ การดูแลระยะยาว (Long-Term Care) นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดอันหนึ่ง เพราะไทยมีคุณภาพการแพทย์ที่ดี Medical & Wellness ประเทศไทยพยายามเป็น Health & Wellness และ Aging Hub ของโลก ให้เป็นอีกหนึ่งจุดขายของไทยในตลาดโลกประเทศไทยจะเป็นประเทศที่คนอยากมาดูแลสุขภาพอยากมาใช้ชีวิตในวัยเกษียณอยากมาพักฟื้นและอยากมาพักผ่อนฟื้นฟูหัวใจร่างกาย และสภาพจิตใจ 
|