ตลท. รายงานผลดำเนินงานบจ.ใน SET งวด 9 เดือน มีกำไรจากการดำเนินงาน 844,047 ล้านบาท ลดลง 7.3% จากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอลงและเงินบาทที่แข็งค่า โดย ธุรกิจที่ยังเติบโตได้ดี คือ หมวดเทคโนโลยีและการสื่อสาร และธุรกิจประกัน ส่วนใน mai มีกำไรสุทธิรวม 3,722 ล้านบาท ลดลง 38.9% นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บจ. จำนวน 817 บริษัท คิดเป็น 98.7% จากทั้งหมด 828 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2568 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2568 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 602 บริษัท คิดเป็น 73.7% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 12,432,596 ล้านบาท ลดลง 6.0% ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลง 6.6% และ 1.2% ตามลำดับ ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 844,047 ล้านบาท ลดลง 7.3% อย่างไรก็ดี บจ. ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากการควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ บจ. มีกำไรสุทธิ 886,814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% 
ทั้งนี้ หากไม่รวม บจ. ในหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ. มียอดขายลดลง 0.7% และมีกำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1.2% และ 16.4% ตามลำดับ ด้านฐานะการเงินของ บจ. ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.49 เท่า ลดลงจาก 1.56 เท่า ณ ช่วงเดียวกันในปีก่อน สำหรับงวดไตรมาส 3/2568 เทียบกับไตรมาส 3/2567 บจ. ส่วนใหญ่มียอดขายลดลง แต่มีกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21.0% และ 31.4% ตามลำดับ เนื่องจาก บจ. ในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมีราคาส่วนต่างค่าการกลั่นต่ำผิดปกติในปีก่อน ทั้งนี้ หากไม่รวม บจ. ในหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ. มียอดขายและมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 11.9% และ 3.2% ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.3% | ผลประกอบการ | ไตรมาส 3/2568 เทียบกับ | 9M 2568 เทียบกับ | 1) รวมทุกหมวดธุรกิจ | ไตรมาส 3/2567 (%yoy) | 9M 2567 (%yoy) | | ยอดขาย | -12.40% | -6.00% | | กำไรจากการดำเนินงาน | 21.00% | -7.30% | | กำไรสุทธิ | 31.40% | 20.80% | 2) หมวดธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์) | | | | ยอดขาย | -11.90% | -0.70% | | กำไรจากการดำเนินงาน | -3.20% | 1.20% | | กำไรสุทธิ | 5.30% | 16.40% | “นอกจากความท้าทายของราคาน้ำมันที่ลดลงแล้ว เศรษฐกิจไทยซึ่งเติบโตในอัตราชะลอลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบชัดเจนกับยอดขาย บจ. ไทยในไตรมาส 3 โดยเกือบทุกหมวดธุรกิจมียอดขายลดลง และกระทบกับภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี โดยเฉพาะหมวดบริการซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของประเทศ เริ่มมีผลประกอบการลดลงอย่างชัดเจนในไตรมาส 3 สำหรับหมวดธุรกิจที่ยังเติบโตได้ดี คือ หมวดธุรกิจประกันภัย ตามแนวโน้มการออมและการประกันความเสี่ยงของสัมคมผู้สูงอายุ และหมวดโทรคมนาคม ได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการใช้ Data และ Internet เพิ่มตามแนวโน้มการปรับสู่สังคม Digital ที่เติบโต” นายสรวิศ กล่าว ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2568 มียอดขายรวม 151,127 ล้านบาท ลดลง 3.6% ต้นทุนขาย 111,422 ล้านบาท ลดลง 4.0% ทำให้มีกำไรขั้นต้น 39,705 ล้านบาท ลดลง 2.2% ทั้งนี้ บจ. มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 2.2% ส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 9,702 ล้านบาท ลดลง 13.5% และมีกำไรสุทธิรวม 3,722 ล้านบาท ลดลง 38.9% ด้าน นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 222 บริษัท คิดเป็น 97% จากทั้งหมด 229 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยไตรมาส 3 ของปี 2568 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 50,719 ล้านบาท ลดลง 5.6% ต้นทุนขาย 37,206 ล้านบาท ลดลง 7.3% กำไรขั้นต้น 13,514 ล้านบาท ลดลง 0.7% โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 0.1% ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,232 ล้านบาท ลดลง 3.0% และมีกำไรสุทธิรวม 620 ล้านบาท ลดลง 10.9% ทั้งนี้ หากพิจารณาความสามารถในการทำกำไรพบว่า บจ. มีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้นจาก 25.3% เป็น 26.6% ขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (OPM) เพิ่มขึ้นจากระดับ 6.2% มาอยู่ที่ระดับ 6.4% ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ลดลงเล็กน้อยจาก 1.3% เป็น 1.2% ตามลำดับ สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 151,127 ล้านบาท ลดลง 3.6% ต้นทุนขาย 111,422 ล้านบาท ลดลง 4.0% กำไรขั้นต้น 39,705 ล้านบาท ลดลง 2.2% โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 2.2% ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 9,702 ล้านบาท ลดลง 13.5% และมีกำไรสุทธิรวม 3,722 ล้านบาท ลดลง 38.9% “ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2568 บจ. มียอดขายและกำไรสุทธิลดลง โดยสาเหตุหลักของการลดลงของผลการดำเนินงาน เกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บจ. บางแห่งมีการส่งมอบโครงการตามสัญญาเกือบจะครบแล้ว บางแห่งมีการตั้งสำรองการลดลงของสินทรัพย์ทางการเงินและด้อยค่าเงินลงทุน ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผลประกอบการรวมของ บจ. ใน mai อย่างไรก็ดี ยังมี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นสามารถรักษาการเติบโตของยอดขาย ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มบริการ และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยกลุ่มบริการมีการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิอีกด้วย” นายประพันธ์กล่าว ด้านฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 328,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากสิ้นปี 2567 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.79 เท่า ใกล้เคียงกับสิ้นปี 2567 ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 229 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 214.32 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 211,347.63 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 572.86 ล้านบาทต่อวัน 
|