ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันพฤหัสบดี (23 ต.ค.) โดยดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 144.20 จุด หลังนักลงทุนประเมินรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ออกมาผสมผสาน พร้อมคลายความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังทำเนียบขาวยืนยันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในสัปดาห์หน้า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 46,734.61 จุด เพิ่มขึ้น 144.20 จุด หรือ 0.31% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,738.43 จุด เพิ่มขึ้น 39.03 จุด หรือ 0.58% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 22,941.80 จุด เพิ่มขึ้น 201.40 จุด หรือ 0.89%
ดัชนีหลักทั้ง 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนดัชนีแนสแดค ขณะที่ดัชนีหุ้นขนาดเล็ก Russell 2000 ทำผลงานได้ดีอย่างชัดเจน
แรงซื้อจากนักลงทุน ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังทำเนียบขาวยืนยัน ถึงการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเยือนเอเชียของผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งการประกาศยืนยันดังกล่าว ช่วยลดแรงตึงเครียดทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างตอบโต้กันด้วยมาตรการภาษีในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันของรัสเซีย เพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซีย ในประเด็นสงครามยูเครน ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้น
แซกการี ฮิลล์ หัวหน้าฝ่ายบริหารพอร์ตของ Horizon Investments กล่าวว่า “การยืนยันการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ถือเป็นสัญญาณบวกต่อจิตวิทยาของตลาดอย่างชัดเจน เพราะความเชื่อมั่นในประเด็นการค้ากลับมาไม่แน่นอนอีกครั้ง นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ก็ยังออกมาแข็งแกร่ง ซึ่งช่วยหนุนตลาดในเชิงปัจจัยพื้นฐาน”

ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 เข้าสู่ช่วงคึกคัก โดยกว่า 25% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลแล้ว ซึ่ง 86% นั้น พบว่าออกมาดีเกินคาด โดยนักวิเคราะห์คาดว่ากำไรโดยรวมของ S&P 500 จะเติบโต 9.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 8.8% ณ วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา
หุ้นเทสลา (Tesla) ดีดตัวขึ้น 2.3% หลังรายงานกำไรไตรมาส 3 ที่ต่ำกว่าคาด โดยเทสลาเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) ที่มีมูลค่าตลาดรวมกันคิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของดัชนี S&P 500 ขณะที่หุ้นไอบีเอ็ม (IBM) ร่วง 0.9% แม้ผลประกอบการโดยรวมดีกว่าคาด แต่รายได้จากธุรกิจคลาวด์ชะลอตัว ด้านหุ้นโมลินา เฮลท์แคร์ (Molina Healthcare) ร่วงหนัก 17.5% หลังปรับลดประมาณการกำไรทั้งปี ส่วนหุ้นฮันนีเวลล์ (Honeywell) พุ่งขึ้น 6.8% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรรายปีจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในภาคการบิน ขณะที่หุ้นสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ (American Airlines) พุ่งขึ้น 5.6% หลังปรับเพิ่มเป้ากำไรประจำปี แต่หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ (Southwest Airlines) กลับร่วง 6.3% แม้รายงานกำไรไตรมาส 3 ดีกว่าคาดและยอดขายไตรมาสปัจจุบันทำสถิติสูงสุด
หุ้นที-โมบาย (T-Mobile) ลดลง 3.3% แม้จำนวนผู้สมัครใช้บริการรายใหม่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ขณะที่หุ้นดาว เคมิคอล (Dow Inc.) ทะยานขึ้น 13.0% หลังรายงานขาดทุนต่ำกว่าคาดจากการลดต้นทุนและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ด้านหุ้นกลุ่มควอนตัมคอมพิวติ้งดีดตัวแรง โดยรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับหลายบริษัทเพื่อเข้าถือหุ้นแลกกับเงินทุนสนับสนุน หุ้น IonQ, D-Wave Quantum, Quantum Computing และ Rigetti Computing โดยทั้งหมดต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นระหว่าง 7.1%-13.8%
หุ้น 11 กลุ่มที่คำนวนในดัชนี S&P 500 พบว่าหุ้นกลุ่มพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งที่สุด โดยพุ่งขึ้น 1.3% จากแรงหนุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น หลังสหรัฐฯใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ซึ่งหุ้นเอ็กซอน โมบิล (Exxon Mobil) และเชฟรอน (Chevron) เพิ่มขึ้น 1.1% และ 0.6% ตามลำดับ ส่วนหุ้นวาเลโร เอเนอร์จี (Valero Energy) เพิ่มขึ้น 7.0% หลังรายงานกำไรไตรมาส 3 ดีกว่าคาด
ทั้งนี้ ภาวะตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ยังส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและป้องกันประเทศ โดยดัชนี S&P 500 Aerospace and Defense ปรับตัวขึ้น 2.2%
ที่มา Reuters 
|