บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้า AUM ปี 69 โต 16% แตะ 8.04 แสนลบ. มองศก.โลกมีสัญญาณเชิงบวกรับหลายประเด็นเริ่มชัดเจน ด้านหุ้นไทยมองเป้า 1,430 จุด EPS โต 6-7% ชูลงทุนหุ้นไทยกลุ่มปันผล ส่วนตราสารหนี้ยังน่าสนใจ พร้อมแนะเก็บทองคำติดพอร์ต 5-10% นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จํากัด เปิดเผยว่า สําหรับแผนธุรกิจปี 69 บริษัทวางเป้าหมายทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) โตแตะ 804,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% แบ่งเป็น กองทุนรวม 618,000 ล้านบาท โต 18%, กองทุนส่วนบุคคล โต 14% แตะ 124,000 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โต 6% แตะ 62,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนากองทุนและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และเหมาะกับสภาวะการลงทุน เพิ่มความหลากหลายในกองทุนรวมสกุลเงินตราต่างประเทศ โดยเพิ่มความหลากหลายในกองทุนรวมสกุลเงินตราต่างประเทศ เสริมกองทุนที่เหมาะกับการลงทุนปี 69 สำหรับนักลงทุนรายย่อย รวมถึงคัดสรรกองทุนพิเศษสำหรับนักลงทุนรายใหญ่
นอกจากนี้บลจ. ยังมีช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง โดยเสริมศักยภาพการเติบโต ร่วมกับตัวแทนสนับสนุนการขาย ตอบสนองทุกความต้องการ เพื่อให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายด้วยช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าและมุ่งสร้างประสบการณ์การลงทุนที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัพเกรดระบบแชทบอท ให้การติดต่อกับลูกค้าสะดวกและรวดเร็วขึ้น พัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งานบน KSAM @ccess Mobile อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ในปี 68 ถึง ก.ย. 68 บริษัทมี AUM อยู่ที่ 714,755 ล้านบาท โต 10% ตั้งแต่ต้นปี และ สูงกว่าอุตสาหกรรม 3% โดยกองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัทและมีการเติบโตโดดเด่นถึง 13% ตั้งแต่ต้นปี สูงกว่าอุตสาหกรรม 6% ซึ่งการเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 57,000 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิทั้งหมด ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของ อุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ ก.ย. 68)
สำหรับกองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กองทุนกรุงศรีสมาร์ทตราสารหนี้ สะสม มูลค่า (KFSMART-A) มีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 35,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตรา สารหนี้ระยะสั้น และกองทุนกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้ สะสมมูลค่า (KFAFIX-A) ซึ่งมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 39,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลาง

นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลกปี 69 มองมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น หลายประเด็นมีความชัดเจน เช่น การผ่อนคลาย เบี้ยของธนาคารกลางหลาย มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าที่ลดลง และแนวโน้มการลดดอกเบี้ย ประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่าจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง
ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่องจาก การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้เศรษฐกิจประเทศหลักจะฟื้นตัวแตกต่างกัน แต่ภาพรวมยังอยู่ ในทิศทางขยายตัว เห็นได้จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวและเงินเฟ้อใกล้ระดับ เป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจจีนยังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของการบริโภคและปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการปรับขึ้นค่าจ้างและนโยบายของรัฐบาลใหม่
โดยตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแรงขายทํากําไรระยะสั้น แต่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่ม เทคโนโลยีและ AI ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดตราสารหนี้เริ่มฟื้นตัวจากทิศทางการลดดอกเบี้ย ซึ่งเหมาะกับการ ทยอยลงทุนของนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจโลกมาจากการเติบโตของเทคโนโลยีและ AI รวมถึงการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย
และการ ยุติการลดขนาดงบดุลของเฟด (OT) วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดโลก แต่ยังมี ความเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหา การเมืองฝรั่งเศสที่อาจนําไปสู่วิกฤติในยุโรป และการแทนที่แรงงานด้วย AI ที่ส่งผลต่อการว่างงาน
ธีมการลงทุนเด่นในปี 2569 ได้แก่ หุ้นกลุ่ม AI, หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้แรงสนับสนุนจากการลงทุนด้าน AI และ การลดภาษี, หุ้น Healthcare ที่ราคาหุ้นไม่แพง, และหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากการพัฒนา AI อย่างรวดเร็ว กองทุนเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ KFGDIV, KFHEALTH, และ KFCHINA-T10PLUS ซึ่งคัดเลือกหุ้น คุณภาพจากกลุ่มเติบโตสูง และได้แรงหนุนจากทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปี 2569
ด้านเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งออกที่ปรับตัวดี และภาคการ ผลิตที่ฟื้นตัวตามตลาดโลก ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าคาด แม้ยังมี ปัจจัยต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความล่าช้าในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจ เทคโนโลยี
ส่วนตลาดหุ้นไทยปี 69 โดยเป้าปีหน้ามอง 1,430 จุด ส่วนปี 68 ที่ 1,320 จุด ซึ่งภาพรวมผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นมองประมาณ 8% ต่อปี โดยลดลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่เฉลี่ย 12% เนื่องจากศักยภาพการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง ทั้งนี้ปี 69 คาดอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) อยู่ที่ 15 เท่า ด้านกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน(EPS) คาดปีหน้าโต 6-7% หรือแตะระดับประมาณ 95 บาท/หุ้น จากปีนี้อยู่ที่ระดับ 89 บาท/หุ้น
ซึ่งมองหุ้นไทยยังคงน่าสนใจจากระดับราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบภูมิภาค และอัตราเงินปันผลมากกว่า 4% ต่อปี โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/68 ออกมาดี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ผล ประกอบการเด่น นอกจากนี้การคาดหวังการเลือกตั้งใหม่ซึ่งต้องติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ กองทุนหุ้นไทยแนะนํา ได้แก่ KFENS50 และ KFTSTAR
สำหรับตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศยังมีมุมมองเชิงบวก โดยประเมินว่าเฟดอาจทยอย ลดดอกเบี้ยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ประกอบกับเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ําและอาจติดลบในปี 2568 จึงมีโอกาสที่ ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งสู่ระดับ 1.00-1.25% ภายในครึ่งแรกของปี 2560 กองทุนตราสารหนี้ที่ น่าสนใจ ได้แก่ KFSMART-A และ KFAFIX-A
ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศยังคงน่าสนใจ เช่น พันธบัตรรัฐบาล สหรัฐฯ และตราสา ตราสารหนี้คุณภาพสูง โดยกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนําคือ KF-CSINCOME ที่กระจายการ ลงทุนทั่วโลกได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะกับสภาวะตลาดที่ยังผันผวน
โดยสรุปการจัดพอร์ตปี 2569 บลจ.กรุงศรี แนะนําให้กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และหุ้น ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสเติบโตสูงที่สุด อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้ขยับขึ้นจากผลของมาตรการภาษี แต่อยู่ใน ระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่นโยบายการเงินและการคลังของประเทศหลักทั่วโลกยังสนับสนุนการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ
ด้านตราสารหนี้ระยะกลางยังให้ผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและช่วยลดความผันผวน ของพอร์ต ส่วนทองคําควรมีสัดส่วน 5-10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แม้ระยะสั้นราคาจะปรับตัวขึ้น แต่ ในระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคําของธนาคารกลางทั่วโลก โดยแนะนําการทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว

|