'วิทัย' ผู้ว่าธปท. เผยมีช่องลดดอกเบี้ยได้อีก หากจำเป็น แจงเหตุไม่ทำ QE ไม่ตอบโจทย์ มีข้อจำกัดด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาสินเชื่อเอสเอ็มอี หลังติดลบ 13 ไตรมาส ย้ำอยากเห็นเงินบาทระดับเหมาะสมเอื้อเศรษฐกิจ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า นโยบายการเงินในเรื่องของการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบาย ยืนยันว่า พร้อมใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (ลดดอกเบี้ย) หากมีความจำเป็นและสนับสนุนเศรษฐกิจมากขึ้น แต่การตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขึ้นอยู่กับการประเมินข้อมูลและสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น โดยมองว่ายังมีช่องทาง และ Room ที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายต่อได้ 
“เศรษฐกิจไม่ดีมาจากโครงสร้าง มาจากขีดความสามารถทางการแข่งขัน เศรษฐกิจ K-shape , สังคมผู้สูงวัย แต่การลดดอกเบี้ยมีผลตรงนี้อย่างจำกัด แต่มีผลให้คนลดภาระทางด้านการเงิน”นายวิทัย กล่าว ***ชี้ทำ QE ไม่ตอบโจทย์ ด้านเงินบาทอยากเห็นอยู่ระดับเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ นายวิทัย กล่าวถึงกรณีที่มีนักเศรษฐศาสตร์บางท่าน ตั้งคำถามว่าทำไม ธปท.ไม่ทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือการทำ QE (Quantitative Easing) นั้น เรื่องนี้ต้องดูบริบทของประเทศไทย เพราะการทำ QE (การซื้อพันธบัตรระยะยาว) มีจุดประสงค์หลักในการกดดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวให้ลดลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกตลาดเงิน
สำหรับ ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาระบบธนาคาร ซึ่งหุ้นกู้ในไทยส่วนใหญ่มีอายุสั้น หรือ ไม่เกิน 10 ปี ทำให้การลดลงของดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว มีผลต่อเศรษฐกิจจำกัดมาก ถ้าหาก ธปท. ปั๊มเงินเข้าสู่ระบบโดยการซื้อพันธบัตร แต่ความต้องการกู้ยืมยังไม่เพิ่มขึ้น เงินที่ถูกปั๊มเข้ามาจะไหลกลับเข้าสู่ระบบ RP (Reverse Repo) ทันที ทำให้ปริมาณเงินในระบบไม่เพิ่มขึ้น และจะทำให้ ธปท. มีต้นทุนเพิ่มขึ้นด้วย “ปริมาณเงินในระบบจะเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเศรษฐกิจได้จริง ก็ต่อเมื่อธนาคารปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ ธปท. ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการเติบโตของสินเชื่อเอสเอ็มอี ซึ่งปัจจุบันติดลบมา 13 ไตรมาสแล้ว”นายวิทัย กล่าว ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่า สาเหตุเกิดจากเงินดอลลาร์อ่อนค่า 7% สอดคล้องกับสกุลเงินทุกสกุลผูกเป็นดอลลาร์ และมาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในช่วงต้นปี โดยธปท.อยากเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าลงให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจจริงของประเทศ และมองว่าในปี 69 การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลง จากปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่า 5% ขณะที่การแทรกแซงมีข้อจำกัดภายใต้เกณฑ์ Currency Manipulator ของสหรัฐฯ เกณฑ์สำคัญคือห้ามเข้าซื้อ FX มากกว่า 2% ของ GDP ภายใน 12 เดือน ปริมาณดังกล่าวเพียงพอสำหรับการลดความผันผวนเท่านั้น แต่ไม่สามารถเทหน้าตัก เพื่อตรึงหรือลากให้ค่าเงินอ่อนกลับทิศทางได้โดยไม่ผิดเกณฑ์ แต่หากเกิดภาวะจำเป็นจริง ๆ ที่ต้องป้องกัน ธปท. ก็พร้อมที่จะนำเงินทุนสำรองมาใช้ นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาโตช้า และกนง.เป็นห่วง จึงเห็นด้วยลดดอกเบี้ยรวม 1% ในช่วงที่ผ่านมา และจุดยืนนโยบายสนับสนุนนโยบบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อประคองเศรษฐกิจ โดยมองไปข้างหน้า 2-3 สัปดาห์ (ประชุมกนง.ในวันที่ 17 ธ.ค.68) กนง.จะดูข้อมูลล่าสุด จุดยืนผ่อนคลายอยู่แล้วจำเป็นต้องผ่อนคลายเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไรก็ตามจุดยืนเห็นด้วยกับการไม่เป็นอุปสรรคขยายตัวเศรษฐกิจ แต่ปัญหาหลักภาวะการเงิน คือ เรื่องเครดิตคอสต์ และเศรษฐกิจโตต่ำในปีหน้า จากที่คุยผู้ประกอบการ 800 ราย ต้นทุนการเงินไม่ได้เป็นตัวต้นๆของธุรกิจ แต่เกิดจากปัญหาของเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนของการลงทุน ทำให้มองว่าเป็นปัญหามากกว่า เชื่อว่าถ้าเป็นปัญหาการเงินจะแก้ได้ไม่ยาก ***ธปท.ผุดตั้งกองทุนค้ำสินเชื่อ 1 แสนลบ. นายวิทัย กล่าวว่า ธปท.อยู่ระหว่างออกมาตรการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับรัฐบาล และสมาคมธนาคารไทย เนื่องจากปัจจุบันพบว่า เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินเชื่อที่ลดลง ประกอบกับเอสเอ็มอีจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ เนื่องจากสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพราะต้นทุนความเสี่ยง (Credit Cost) สูง โดยธปท.จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่อง Credit cost นี้ ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถออกได้ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับการดำเนินการนั้น ธปท.จะสร้างกลไกในรูปแบบของการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจ และช่วยลดต้นทุนความเสี่ยงให้กับเอสเอ็มอีได้ ทำให้สถาบันการเงินกลับมาปล่อยสินเชื่อได้ โดยจะออกเสริมกับมาตรการของรัฐบาลที่จะใช้กลไกของบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาตรการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อนั้น โดยเบื้องต้น มีแนวคิดจะจัดตั้งกองทุนขึ้นมา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือ โดยคาดว่าจะใช้เงินจากกองทุน FIDF ที่เหลืออยู่ หรือ FIDF ใหม่ที่จะใช้ในปีถัดไปประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยตั้งกองทุน หรือ กลไกค้ำประกัน ซึ่งหวังว่าจะช่วยค้ำประกันสินเชื่อรวมวงเงินประมาณ 100,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 50-100 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายคือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดกลางและขยายย่อม และอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่มีความสามารถในการแข่งขัน มี Competitive net อยู่ในธุรกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย Reinvent Thailand 5 อุตสาหกรรม เช่น อาหาร,อาหารแปรรูป เกษตร,เกษตรแปรรูป wellness หรืออาจจะเพิ่มส่วนอื่นเพิ่มเติมที่จะต้องหารือกับสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยต่อไป เช่น ค้าส่ง ค้าปลีก เป็นต้น หรือ ธุรกรรมบางอย่างที่ต้องการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ลงทุนเรื่อง Green เรื่อง EV ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือ แต่จะเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องการส่งเสริมทั้งสิ้น “โครงการนี้เป็นการดำเนินร่วมกันระหว่าง ธปท. รัฐบาล และสมาคมธนาคารไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือ แต่ค่อนข้างไปได้ไกลแล้ว โดยเบื้องต้นกลไกการค้ำประกัน โดยแบงก์ที่จะปล่อยสินเชื่อสามารถเข้ากลไกนี้และลดความเสี่ยงได้ 10-30% ที่จะต้องตกลงกัน เช่น หากเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน อาจใช้การค้ำประกันน้อย เช่น 10% หากไม่มีอาจให้การค้ำประกัน 30% ทำให้เอสเอ็มอีที่ไม่มีหลักค้ำประกันสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งเฉลี่ยประมาณ 20% แต่ตัวนี้อยู่ระหว่างการหารือ โดยแหล่งเงินใช้จาก FIDF อาจจะเป็นส่วนที่มีอยู่หรืออาจจะลดในปี 2569 ต่อไป”นายวิทัย กล่าว ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องการทำมาตรการเฉพาะจุดนี้ เนื่องจากพบว่า ปัจจุบัน สินเชื่อรวมติดลบติดต่อกัน 5 ไตรมาส โดยสินเชื่อเอสเอ็มอี พบว่า เดือนที่ผ่านมาติดลบ 4% โดยติดลบติดต่อกัน 13 ไตรมาส ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่สามารถกระเตื้องขึ้นได้ เอสเอ็มอีไม่สามารถกลับมาได้หากสินเชื่อเอสเอ็มอียังคงติดลบอยู่ ดังนั้นธปท.พยายามจะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ นายวิทัย ยังกล่าวถึงบทบาทหน้าที่หลักของธปท. โดยเน้นการดูแลเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ผ่านการใช้นโยบายการเงินเป็นหลัก เช่น การดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ ควบคุมได้ สถาบันการเงินมีความแข็งแรง ระบบการชำระเงินเข้มแข็ง และมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า วันนี้ปัญหาความเสี่ยงอาจไม่ได้อยู่ที่เรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากนัก แต่เป็นเรื่องการเข้าไปดูแลปัญหาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง ด้วยการออกมาตรการเฉพาะจุด “หน้าที่หลักในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคก็ทำ และขยายบทบาทในการเข้ามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆด้วย ในบริบทที่แบงก์ชาติควรจะทำ ขอย้ำว่าไม่ได้ทำทุกเรื่อง แต่ทำในสิ่งที่ควรจะทำ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหลาย ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมของ ธปท. คือ ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน ถ้าเราเข้าไปอยู่ใกล้ชิดประชาชน อยู่ใกล้ชิดปัญหา เข้าไปร่วมแก้ปัญหามากขึ้น ก็เหมือนเราเข้าไปยื่นมือแก้ปัญหาเชิงสังคม แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและอยู่ใกล้ประชาชน และสังคมมาก”นายวิทัย กล่าว สำหรับมาตรการเฉพาะจุดนั้น ในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาสำคัญ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงได้ออกมาตรการโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 100,000 บาท จำนวน 1.6 ล้านบัญชี เข้าไปยัง บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM ซึ่งธปท. ถือหุ้นทางอ้อม ผ่านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) 100% โดยแหล่งมาจากเงินที่เหลือจากโครงการคุณสู้เราช่วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ และสามารถ Cut of หรือ สามารถโอนหนี้ได้ในวันที่ 1 ม.ค. 2569 “หวังว่า ส่วนหนึ่งในนี้ 500,000 ราย หรือ 800,000 ราย จะหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสียได้ เราก็ช่วยคนเหล่านี้ให้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งเป็นโครงการเฉพาะจุด ที่เสริมกับการดำเนินนโยบายการเงิน เพราะเราเห็นว่าหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ได้แก้เสร็จด้วยมาตรการเดียว มันเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต้องต่อ แก้ไปเรื่อยๆ และมันจะค่อยๆบรรเทา แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ออกมาตรการเดียว กดปุ่มแล้วปัญหาใหญ่ของประเทศจะหายไป เราอยู่บนความจริงที่ค่อยๆแก้ ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ”นายวิทัย กล่าว 
|