ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าอาหารมากกว่า 200 รายการ ครอบคลุมสินค้าอุปโภคบริโภคสำคัญอย่างกาแฟ เนื้อวัว กล้วย และน้ำส้ม ท่ามกลางความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคชาวอเมริกัน ต่อค่าครองชีพและราคาสินค้าอาหารที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาตรการยกเว้นภาษีรอบใหม่นี้ มีผลย้อนหลังตั้งแต่เที่ยงคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 พ.ย.) ซึ่งถือเป็นการกลับลำครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีทรัมป์ หลังยืนยันมาโดยตลอดว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าที่ประกาศใช้เมื่อต้นปี ไม่ใช่สาเหตุของเงินเฟ้อ โดยทรัมป์ยอมรับว่า ภาษีอาจทำให้ราคาสูงขึ้นในบางกรณี แต่ยืนยันว่าสหรัฐฯ มีเงินเฟ้อแทบเป็นศูนย์ การลดภาษีครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังพรรคเดโมแครตคว้าชัยชนะในหลายการเลือกตั้งระดับรัฐและท้องถิ่น รวมถึงประเด็นค่าครองชีพและราคาอาหาร ที่เป็นหัวข้อร้อนแรงในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเปิดเผยว่า จะเดินหน้าจ่ายเงินช่วยเหลือ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับชาวอเมริกันรายได้ต่ำและปานกลางในปีหน้า โดยระบุว่าจะนำรายได้จากภาษีศุลกากรมาใช้เป็นแหล่งเงิน “ภาษีเหล่านี้ ทำให้เราจ่ายเงินปันผลให้ประชาชนได้ และเรายังลดหนี้สาธารณะไปพร้อมกันด้วย” นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ ยังประกาศกรอบข้อตกลงการค้า ที่จะยกเลิกภาษีการนำเข้าสินค้าอาหารและสินค้าอื่น ๆ จากอาร์เจนตินา เอกวาดอร์ กัวเตมาลา และเอลซัลวาดอร์ พร้อมตั้งเป้าบรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมภายในสิ้นปีนี้ โดยรายการยกเว้นภาษีล่าสุด ครอบคลุมสินค้าที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ ซื้อเป็นประจำจำนวนมาก ทั้งผลไม้ เนื้อสัตว์ วัตถุดิบอาหาร ไปจนถึงสารเคมีที่ใช้ในการผลิตอาหาร ปุ๋ย และแม้แต่แผ่นขนมปัง 
ทำเนียบขาวระบุในเอกสารข้อมูลว่า การยกเว้นภาษีครั้งนี้ เป็นผลจากความคืบหน้าสำคัญ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทำได้ในการปรับเงื่อนไขการค้า ให้มีความเท่าเทียมมากขึ้น พร้อมเสริมว่าการยกเว้นสินค้าบางรายการ มีเหตุผลเพราะไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ และเป็นไปตามข้อตกลงการค้าที่สรุปแล้วหลายฉบับ ตามข้อมูลของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนก.ย. บ่งชี้ว่า ราคาเนื้อบดเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 13% และราคาเนื้อสเต๊กเพิ่มขึ้นเกือบ 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ส่วนหนึ่งเกิดจากปริมาณวัวในสหรัฐฯ ที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ขณะที่ราคากล้วยเพิ่มขึ้น 7% มะเขือเทศ 1% และอาหารที่บริโภคในบ้านโดยรวมเพิ่มขึ้น 2.7% ด้านประธานสมาคมอุตสาหกรรมอาหาร FMI ระบุว่า “มาตรการครั้งนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค ทำให้กาแฟราคาถูกลง และช่วยผู้ผลิตในสหรัฐฯ ที่ใช้วัตถุดิบเหล่านี้ในห่วงโซ่อุปทาน” อย่างไรก็ตาม องค์กรบางส่วน แสดงความผิดหวัง เพราะสินค้าของตนไม่อยู่ในรายการยกเว้น ทั้งนี้ เมื่อถูกถามว่าจะมีการปรับลดภาษีเพิ่มเติมหรือไม่ ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบว่า “ไม่คิดว่ามีความจำเป็นแต่อย่างใด” ที่มา Reuters 
|