ผลสำรวจากสำนักงานสถิติจีน (NBS) เผยว่า กิจกรรมการผลิตของจีนเดือนต.ค. หดตัวสู่ระดับต่ำสุดในรอบหกเดือน สืบเนื่องจากตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ในช่วงดังกล่าว ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) เดือนต.ค. อยู่ที่ 49.0 ต่ำกว่าผลสำรวจรอยเตอร์ที่ 49.6 ซึ่งดัชนีที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัวในภาคการผลิต โดยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ดัชนี PMI มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และแตะสู่ระดับสูงสุดในรอบหกเดือนเมื่อเดือนก.ย. ที่ 49.8 โดยอยู่ที่ 49.4 ในเดือนส.ค. และ 49.3 ในเดือนก.ค. กิจกรรมภาคการผลิตของจีนยังคงอยู่ในภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนเม.ย. ซึ่งในช่วงนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีทั่วโลก ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อโรงงานในจีน รวมถึงอุปสงค์ทั่วโลก ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า เศรษฐกิจของจีนขยายตัว 4.8% ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบปี นอกจากนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วงเก้าเดือนแรกของปี ยังหดตัว 0.5% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ตามข้อมูลของ Wind Information ขณะที่บริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีผลกำไรพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบสองปีในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 21.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังแรงกดดันในฝั่งราคาสินค้าหน้าโรงงานลดลงสืบเนื่องจากมาตรการควบคุมสงครามราคาและการผลิตที่เกินความจำเป็น ส่วนอุปสงค์ภายในประเทศยังคงซบเซาจากผลกระทบของตลาดอสังหาริมทรัพย์และภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ซึ่งลดทอนกำลังซื้อในภาคครัวเรือน ส่วนสถานการณ์สงครามการค้าล่าสุด จีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงสงบศึกการค้าไปเมื่อวานนี้ (30 ต.ค.) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบ โดยลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลลงมาอยู่ที่ 10% จาก 20% ส่งผลให้ภาษีรวมที่สหรัฐฯ เก็บจากจีนลดลงมาอยู่ที่ 47% แลกกับการที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น ๆ ของสหรัฐฯ รวมถึงการบรรลุข้อตกลงแร่หายาก (Rare earth) และแร่สำคัญภายใต้กรอบเวลา 1 ปี ซึ่งจะมีการเจรจาต่ออายุทุก ๆ ปี ที่มา CNBC 
|