
ในยุคที่โลกกำลังกดดันให้ทุกธุรกิจเปิดไพ่เรื่องการปล่อยคาร์บอน (Carbon Footprint) ตลาดทุนไทยก็เหมือนถูกโยนลงสนามแข่งขันระดับโลกทันที ผู้กำกับดูแลกติกาโลกต่างเข้มงวดบังคับใช้ให้บริษัทที่ค้าขายในตลาดโลกเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่าง IFRS S1 และ S2 ที่ประกาศชัดว่า “ถึงเวลาโชว์ข้อมูลจริง ไม่ใช่คำสวยๆ ในรายงานยั่งยืนอีกต่อไป” รวมถึงการมีร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (พ.ร.บ.Climate Change) ที่มีผลบังคับให้กำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยผู้ที่ปล่อยเกินจากโควต้าต้องซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาชดเชย
แต่เชื่อไหมว่าแม้ไทยจะมีบริษัทจดทะเบียนกว่าแปดร้อยแห่ง แต่ในปี พ.ศ. 2565 มีเพียง 182 บริษัทเท่านั้นที่รายงานการปล่อยคาร์บอน แบบตรวจสอบได้จริงผ่านองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบที่ยอมรับในระบบสากล นี่คือเพนพอยท์ใหญ่สุดของตลาดทุนไทย เมื่อข้อมูลคาร์บอนไม่ครบ ไม่แม่น และไม่มีให้เปรียบเทียบ
ทำให้ธุรกิจไทยไม่สามารถเห็นตำแหน่งของตนเองเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทวางกลยุทธ์ลดคาร์บอนไม่ได้ นักลงทุนขาดข้อมูลในการตัดสินใจ ธนาคารปล่อยกู้สีเขียวลำบาก เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้ทันตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ภายในปี พ.ศ. 2593
ดร.ศรพล ดุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและโครงการกลยุทธ์ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะแหล่งระดมทุนจึงขยายบทบาทพัฒนาแพลตฟอร์ม SET Carbon เพื่อหาวิธีคำนวณและรายงานการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ทำให้ปลั๊กอินกับแหล่งเงินทุนและสถาบันการเงินได้อย่างแท้จริง เพื่อให้กิจการที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียวสามารถทำได้จริง และรองรับความท้าทายที่ธุรกิจจดทะเบียนทั้งในตลาดและนอกตลาดกำลังต้องเผชิญ
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ลองนึกภาพยุคที่ทุกบริษัทถูกบังคับให้รายงานคาร์บอน แต่ความจริงคือบริษัทส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเริ่มจากตรงไหน ปริมาณการใช้ไฟฟ้าต้องนับอย่างไร อัตราการใช้น้ำมันต้องคิดยังไง แล้วจะใส่ใน Excel แบบไหนไม่ให้พัง SET Carbon เข้ามาเพื่อปิดความวุ่นวายของการรายงานคาร์บอนทั้งหมดนี้ในทีเดียว มันทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่จับมือบริษัทไทยให้เดินขึ้นบันไดสู่ Net Zero แบบเป็นระบบ โดยไม่ต้องตั้งฝ่ายสิ่งแวดล้อมเพิ่มอีกยี่สิบคนให้เปลืองงบประมาณ

บริษัทเพียงแค่ป้อนข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว เช่น บิลน้ำมันสำหรับกิจกรรมการใช้เชื้อเพลิง และบิลไฟฟ้าสำหรับการใช้พลังงานในสำนักงานหรือโรงงาน ระบบก็จะคำนวณ Scope 1 ซึ่งหมายถึงการปล่อยก๊าซที่มาจากกิจกรรมโดยตรงของบริษัท และ Scope 2 ซึ่งหมายถึงการปล่อยก๊าซจากการใช้พลังงานทางอ้อม ให้ทันที โดยได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกหรือ TGO ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางด้านมาตรฐานคาร์บอนของประเทศ
หลังจากได้ผลลัพธ์ ระบบยังส่งข้อมูลเข้าสู่ SET ESG Data ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แบบอัตโนมัติ บริษัทจึงไม่ต้องนั่งทำ Excel แบบเดิมๆ จนล้าและเสี่ยงใส่สูตรผิดอีกต่อไป ที่สำคัญระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้บริษัทที่ยังเริ่มต้นตั้งไข่ก็สามารถรายงานคาร์บอนได้อย่างถูกต้องและพร้อมรับกติกาใหม่ของโลก โดยไม่ต้องยกระดับระบบไอทีหรือสร้างทีมใหญ่ให้ยุ่งยาก

ก่อนมี SET Carbon โครงสร้างข้อมูลคาร์บอนของไทยเหมือนห้องเก็บเอกสารที่เอากระดาษมากองแต่ไม่เรียงหน้า บริษัทใช้สูตรคำนวณไม่เหมือนกัน ข้อมูลเปรียบเทียบกันไม่ได้ และสุดท้ายไม่มีใครมั่นใจว่าตัวเลขไหนคือความจริง แต่ระบบใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามาจัดระเบียบประเทศในสี่จุดสำคัญ
จุดแรกคือการแก้ปัญหาข้อมูลมั่วและสูตรใครสูตรมัน เมื่อบริษัททุกแห่งถูกดึงเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวและใช้มาตรฐานเดียว ข้อมูลจึงเทียบกันได้และตรวจสอบได้ทั้งในอุตสาหกรรม นี่คือครั้งแรกที่มีการรวบรวมฐานข้อมูลคาร์บอนที่เชื่อถือได้ระดับประเทศ

จุดที่สองคือการเปิดทางเข้าถึงเงินทุนสีเขียว เมื่อข้อมูลเป็นระบบ ธนาคารสามารถใช้ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) สินเชื่อการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ (Transition Loan) หรือการเงินสีเขียวในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Green Financing) นี่คือการผลักสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ออกจากห้องประชุมลงไปสู่ห่วงโซ่อุปทานทั้งประเทศ ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับบริษัทที่ยังไม่ได้ลงทุนระบบ ช่วยลดต้นทุนโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs: Small and Medium-sized Enterprises)
จุดที่สามคือการทำให้นักลงทุนเลือกหุ้น Low Carbon ได้ชัดเจน เพราะนักลงทุนสาย ESG ต้องการข้อมูลที่ตรวจสอบได้ก่อนการตัดสินใจลงทุน เพื่อใส่เงินเข้าสู่ระบบขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียวได้อย่างมั่นใจ เมื่อมีความโปร่งใสและข้อมูลที่เชื่อถือได้ การไหลเวียนของเงินทุนก็จะราบรื่นขึ้น
และจุดที่สี่คือภาครัฐสามารถออกนโยบายได้แม่นยำขึ้น หน่วยงานที่กำกับดูแลผ่านโยบายอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กระทรวงการคลัง และกองทุน ESG ต่างๆ สามารถดึงข้อมูลจาก SET Carbon มาใช้ในการวางเกณฑ์ใหม่ของประเทศได้

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา การรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 ถึง 2567 จำนวนบริษัทที่เปิดเผยข้อมูล Scope 1 และ Scope 2 เพิ่มจากหนึ่งร้อยแปดสิบสองบริษัทในปี 2565 มาเป็นสองร้อยหกสิบเจ็ดบริษัทในปี 2566 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละสี่สิบเจ็ด และเพิ่มเป็นสามร้อยสามสิบสองบริษัทในปี 2567 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบสี่ เป็นสัญญาณว่าภาคธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ขณะเดียวกัน จำนวนบริษัทที่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลหรือที่เรียกว่า Assurance เพิ่มจากสามร้อยสี่สิบสองบริษัทในปี 2565 มาเป็นสี่ร้อยสี่สิบห้าบริษัทในปี 2566 และสูงถึงห้าร้อยสิบหกบริษัทในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละห้าสิบหกของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด โดยมีร้อยละสามสิบหกที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนบริษัทที่รายงานข้อมูลจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด เพราะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้อกำหนดอย่าง IFRS S2 และ One Report จะเริ่มบังคับให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูล จุดเสี่ยงคือยังมีบริษัทอีกจำนวนมากที่รายงานข้อมูลแต่ยังไม่มีการตรวจสอบยืนยันความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญหรือบุคคลที่สามตามที่ IFRS S และสำนักงาน ก.ล.ต. มีแผนบังคับให้รายงานข้อมูล ESG และข้อมูล GHG ภายในปี พ.ศ. 2569
นอกจากนี้ การมีข้อมูลที่ถูกต้องจะนำไปสู่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวได้ง่ายขึ้น เพราะนักลงทุนและสถาบันการเงินต้องการข้อมูลก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) เพื่อประกอบการปล่อยสินเชื่อและการลงทุน โดยเฉพาะสินเชื่อสิ่งแวดล้อมอย่างพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ซึ่งมีการเติบโตถึงร้อยละยี่สิบสี่ต่อปี รวมถึงข้อบังคับจากพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ให้ส่งรายงานข้อมูลการปล่อยคาร์บอน
ข้อมูลทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า ภาคธุรกิจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เปิดเผยข้อมูลคาร์บอนคือใบอนุญาตในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การรายงานก๊าซเรือนกระจก (GHG) ไม่ใช่เพียงเรื่องของความยั่งยืน แต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขัน การระดมทุน และการอยู่รอดขององค์กรในอนาคต

คุณศภกร เอกชัยไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาบริหารด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า SET Carbon คือตัวเปลี่ยนเกมของจริงที่สร้างระบบนิเวศสีเขียวให้กับทั้งธุรกิจและแหล่งเงินทุน ระบบนี้ให้บริษัทป้อนข้อมูลพื้นฐานแทนที่จะต้องกรอกรายละเอียดการคำนวณการปล่อยก๊าซนับพันรายการ เช่น บิลน้ำมันหรือบิลไฟ จากนั้นระบบจะคำนวณ Scope 1 และ 2 ให้ทันที พร้อมได้รับการรับรองจาก TGO และข้อมูลสามารถส่งตรงสู่ SET ESG Data ได้โดยไม่ต้องนั่งทำ Excel เหมือนเดิม
แพลตฟอร์มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อบริษัทไทยที่ยังไม่พร้อม โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังไม่มีเงินทุนลงทุนระบบและจ้างที่ปรึกษาซึ่งมีมูลค่าเริ่มต้นตั้งแต่ห้าแสนบาทจนถึงหลักหลายล้านบาท การใช้ SET Carbon จึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนในการเริ่มต้นได้อย่างมาก

สำหรับเป้าหมายที่วางไว้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าจะเพิ่มบริษัทที่ได้รับการรับรองเข้ามาใช้ระบบประมาณห้าร้อยบริษัทในปีหน้า จากสามร้อยบริษัทในปัจจุบัน ซึ่งจะสะท้อนถึงการมีคุณภาพที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินยุคใหม่และสนับสนุนการเดินหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในระยะยาว พร้อมกันกับการเพิ่มจำนวนธนาคารและสถาบันการเงินเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรอีกสองแห่งในต้นปีและกลางปีหน้า
คาดว่าภายในห้าปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็นหลักพันองค์กร ที่จะมีทั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดและบริษัทที่ยังไม่เข้าตลาดเข้ามาใช้บริการ โดยเชื่อมต่อมาจากลูกค้าของธนาคาร ในปีหน้าจะมีบริษัทไม่จดทะเบียนอีกประมาณเกือบสองร้อยรายเพิ่มเข้ามา จากลูกค้าธนาคารที่มีกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบราย
คุณศภกรอธิบายว่า ความต้องการในตลาดสำหรับการคำนวณคาร์บอนมีบริษัทจำนวนมากที่ระบบจะรองรับ หลายองค์กรยังไม่มีเครื่องมือและยังเตรียมตัวไม่ทัน ถ้าบริษัททำเองตั้งแต่จ้างที่ปรึกษา เก็บ วิเคราะห์ ตรวจสอบ และดูแลระบบ ต้นทุนอาจสูงถึงหลักล้านบาทต่อปี ดังนั้นการให้บริการฟรีกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดและเก็บเงินเป็นค่าบริการกับบริษัทนอกตลาดจึงเป็นการช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าถึงเครื่องมือที่จำเป็นนี้ได้ง่ายขึ้น

ผู้บริหารทิ้งท้ายว่า ในอีกห้าถึงสิบปีข้างหน้า คาดว่าระบบนิเวศหรือ Ecosystem นี้จะเติบโตครอบคลุมผู้ใช้หลายพันองค์กร ทั้งภาคธุรกิจ นักลงทุน ธนาคาร และหน่วยงานรัฐ โดยแพลตฟอร์มจะทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูล การเงิน เทคโนโลยี และเป้าหมาย Net Zero เข้าด้วยกัน ระบบนี้ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มข้อมูล (Data Platform) แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอนาคต และเมื่อประเทศไทยเดินหน้าไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้จริง เราอยากให้ทุกคนมองย้อนกลับมาแล้วบอกได้ว่าเราไม่ใช่ผู้ตาม แต่เป็นผู้ร่วมเริ่มต้นเปลี่ยนเกม
ก่อนหน้านี้ข้อมูลคาร์บอนของไทยเหมือนกระดาษที่ไม่ได้เรียงหน้า ทุกคนใช้สูตรคนละแบบ เทียบกันไม่ได้เลย แต่ด้วย SET Carbon รวมกับโครงการ MASTER และ ESG Academy ทำให้สามารถแก้ปัญหาข้อมูลไม่แม่นและไม่เทียบได้ โดยดึงทุกบริษัทมาอยู่ในระบบเดียวกันและใช้มาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ยังปลดล็อกการเข้าถึงทุนสีเขียว เมื่อธนาคารสามารถใช้ข้อมูลนี้ปล่อยสินเชื่อสีเขียว สินเชื่อการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ และการเงินสีเขียวในห่วงโซ่อุปทาน นี่คือการขยาย ESG ออกจากห้องประชุมไปสู่ทั้งซัพพลายเชน
นักลงทุนได้ข้อมูลโปร่งใสและสามารถเลือกหุ้น Low Carbon ได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าไม่มีข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว นักลงทุนสาย ESG ก็จะหลีกเลี่ยง ในขณะที่ภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายบนข้อมูลจริง ทั้งสำนักงาน ก.ล.ต. กระทรวงการคลัง และ Thai ESG ต่างใช้ข้อมูลนี้ในการวางเกณฑ์ใหม่ๆ
ในปี พ.ศ. 2567 ตัวเลขขยับขึ้นแรงมาก มีห้าร้อยสิบหกบริษัทส่งข้อมูลคาร์บอนแล้ว สามร้อยสามสิบสองบริษัทผ่านการตรวจสอบ และสองร้อยเก้าสิบเก้าบริษัทใช้ SET Carbon ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังจับมือกับธนาคารทหารไทยธนชาตแล้ว และเตรียมขยายไปยังธนาคารอื่นๆ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจสีเขียว (Green Transformation) ของทั้งประเทศ
ภาพใหญ่คือตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังปักเสาให้เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทย โดยไม่ได้ทำแค่แพลตฟอร์มคาร์บอน แต่วางระบบนิเวศครบวงจรที่เชื่อมบริษัทจดทะเบียน ซัพพลายเชน ธนาคาร นักลงทุน และหน่วยงานรัฐเข้าด้วยกัน ให้ทุกคนเดินไปสู่ Net Zero แบบเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่คำพูดในรายงาน เหมือนสร้างถนนลอยฟ้าให้ทุกธุรกิจไทยขึ้นสู่โลกคาร์บอนต่ำพร้อมกัน ไม่ต้องหลง ไม่ต้องงม และไม่ต้องโดนโลกทิ้งไว้ข้างหลัง
การพัฒนานี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของตลาดทุนไทยในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพียงแค่ตอบสนองต่อกฎเกณฑ์สากล แต่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันและเติบโตในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญของการทำธุรกิจ SET Carbon จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือคำนวณคาร์บอน แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนอย่างแท้จริง